บทความนี้ผมตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่านเกี่ยวกับ Forex Trading หรือการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน รวมถึงอธิบายพื้นฐานการทำงานของตลาดฟอเร็กซ์ วิธีการซื้อขาย การวิเคราะห์ตลาด เทคนิคการลงทุน และเคล็ดลับต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเริ่มต้นและพัฒนาตัวเองให้เป็นนักลงทุนที่มีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้ บทความนี้ยังมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนในตลาด Forex โดยเฉพาะ
- Forex Trading คืออะไร?
Forex Trading หรือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน คือ การซื้อขายคู่สกุลเงินต่าง ๆ ในตลาดการเงินที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดในโลก ตลาด Forex ทำให้ผู้ลงทุนสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในแต่ละสกุลเงินที่มีการซื้อขายกัน ตลาดนี้เปิดให้ซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ (24/5) ทำให้มีโอกาสในการเทรดอยู่ตลอดเวลา
ในตลาด Forex มีการซื้อขายเป็นคู่สกุลเงินต่าง ๆ เช่น EUR/USD, GBP/JPY, หรือ USD/JPY ซึ่งหมายถึงการซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายสกุลเงินอีกหนึ่งในเวลาเดียวกัน นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการที่ราคาของคู่สกุลเงินนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีแค่สกุลเงินหรอก แต่มันยังมีสินทรัพย์อย่างอื่นด้วย เช่น ทองคำ, น้ำมัน, แร่โลหะ หรือ พลังงานอื่น ๆ เป็นต้นครับ
- การทำงานของตลาด Forex
ตลาดฟอเร็กซ์ไม่มีศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ แต่เป็นตลาดที่กระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้มีความคล่องตัวสูง นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้โดยตรงผ่านโบรกเกอร์ที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
ราคาของสกุลเงินในตลาด Forex ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญ ซึ่งรวมถึง:
- ข่าวการเงิน: เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการเงิน, อัตราดอกเบี้ย และการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ เช่น การประชุมของธนาคารกลาง
- อัตราดอกเบี้ย: เมื่ออัตราดอกเบี้ยของประเทศหนึ่งสูงขึ้น เงินสกุลนั้นจะมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน ทำให้มูลค่าสกุลเงินเพิ่มขึ้น
- ตัวชี้วัดเศรษฐกิจ: ข้อมูลที่ออกมาจากหน่วยงานรัฐบาลหรือองค์กรเศรษฐกิจ เช่น ตัวเลขการว่างงาน, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP), อัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น เหตุการณ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงค่าเงินของประเทศได้
รูปที่ 1 ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการตลาดฟอเร็กซ์ โดยมีข่าวการเงินเป็นแกนหลัก ซึ่งประกอบด้วยการประชุมธนาคารกลาง รายงานเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และอัตราการว่างงาน โดยแต่ละปัจจัยมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดในระดับต่างๆ ทั้งสูงและต่ำ
ตลาด Forex มีจริงไหม? และอยู่ที่ไหน?
คำถามยอดนิยมที่มักจะเกิดขึ้นในหมู่นักลงทุนมือใหม่คือ “ตลาด Forex มีจริงหรือไม่? แล้วมันตั้งอยู่ที่ไหน?” คำตอบก็คือ
- ตลาด Forex ไม่มีสถานที่ตั้งจริง ๆ ที่สามารถไปเยี่ยมชมได้เหมือนตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่มีสถานที่เฉพาะ
- ตลาด Forex เป็นตลาดที่กระจายตัว (Decentralized Market) ซึ่งหมายความว่าไม่มีศูนย์กลางการซื้อขาย
- การแลกเปลี่ยนสกุลเงินสามารถทำได้ทั่วโลก ผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก
- นักลงทุนรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงตลาด Forex ส่วนใหญ่จะทำการซื้อขายผ่าน โบรกเกอร์
- โบรกเกอร์ประเภท ECN (Electronic Communication Network) หรือ STP (Straight Through Processing) จะทำหน้าที่ส่งคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนเข้าสู่ตลาดจริง หรือส่งคำสั่งไปยังผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Providers) ที่มีบทบาทในการกำหนดราคาในตลาด
- อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรายย่อยทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงตลาดโดยตรงในระดับสูงมาก เนื่องจากปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่น้อยไม่เพียงพอ
- โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและมีการกำกับดูแลจึงยังคงเป็นตัวกลางที่สำคัญในการให้บริการการซื้อขายแลกเปลี่ยน
เวลาเปิด-ปิดของตลาด Forex
เนื่องจากตลาด Forex ไม่มีศูนย์กลางและเป็นตลาดที่เชื่อมโยงการซื้อขายทั่วโลก เวลาในการเปิดและปิดตลาดจึงขึ้นอยู่กับ โซนเวลา ของแต่ละประเทศ ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงใน 5 วันทำการต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์และปิดตัวลงในวันศุกร์ โดยการซื้อขายจะหมุนเวียนตามเวลาทำการของตลาดใหญ่ ๆ ในโลก เช่น ตลาดโตเกียว, ตลาดลอนดอน, ตลาดนิวยอร์ก และตลาดซิดนีย์
การเปิดทำการของตลาดในแต่ละภูมิภาคจะมีช่วงเวลาที่เหลื่อมกันเล็กน้อย ทำให้ในบางช่วงมีการเปิดทำการของหลายตลาดพร้อมกัน ส่งผลให้ตลาด Forex มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ยกเว้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ตลาดปิด นักลงทุนจึงสามารถทำการซื้อขายได้เกือบตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นที่มีการกำหนดเวลาเปิด-ปิดชัดเจน
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างเวลาเปิด-ปิดของตลาด Forex ในประเทศต่าง ๆ ประมาณ 4 time zone
ตารางเวลาเปิด-ปิดของตลาดหลักในโลก Forex:
- ตลาดซิดนีย์ (Sydney): เปิดเวลา 05:00 – 14:00 น. (เวลาไทย)
- ตลาดโตเกียว (Tokyo): เปิดเวลา 07:00 – 16:00 น. (เวลาไทย)
- ตลาดลอนดอน (London): เปิดเวลา 14:00 – 23:00 น. (เวลาไทย)
- ตลาดนิวยอร์ก (New York): เปิดเวลา 19:00 – 04:00 น. (เวลาไทย)
จากการเหลื่อมกันของเวลานี้ ทำให้ตลาด Forex เปิดต่อเนื่องแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง เทรดเดอร์สามารถวางแผนการเทรดได้ตลอดทั้งวันตามช่วงเวลาที่เหมาะสมกับตัวเอง
- คำศัพท์สำคัญใน Forex Trading
ในโลกของ Forex Trading มีคำศัพท์เฉพาะที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจเพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ:
- Pip หมายถึง การเปลี่ยนแปลงราคาที่เล็กที่สุดในคู่สกุลเงิน โดยทั่วไปแล้วคู่สกุลเงินจะถูกวัดเป็นทศนิยม 4 ตำแหน่ง เช่น ถ้า EUR/USD เคลื่อนไหวจาก 1.1010 เป็น 1.1011 นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลง 1 pip
- Lots คือ ขนาดของการซื้อขายมาตรฐานในตลาด Forex โดย 1 lot มาตรฐานจะเท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐาน อย่างไรก็ตามมีขนาดอื่น ๆ เช่น mini lot (10,000 หน่วย) และ micro lot (1,000 หน่วย) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีทุนจำกัด
- Leverage คือ การกู้ยืมทุนจากโบรกเกอร์เพื่อนำมาใช้ในการซื้อขาย ทำให้นักลงทุนสามารถทำกำไร (หรือขาดทุน) จากการเคลื่อนไหวของราคาได้มากขึ้น Leverage เช่น 1:100 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายมูลค่า 100,000 หน่วยด้วยเงินทุนเพียง 1,000 หน่วย อย่างไรก็ตามการใช้ leverage ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะอาจทำให้ขาดทุนได้มากกว่าทุนที่มี
- ประเภทของบัญชี Forex
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใน Forex Trading สิ่งที่สำคัญคือการเลือกประเภทของบัญชีที่เหมาะสมกับตัวเอง โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีตัวเลือกหลายประเภทบัญชีที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่มีทุนและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยหลัก ๆ เราจะแบ่งประเภทบัญชีแบบหยาบ ๆ ดังนี้
- บัญชีทดลอง (Demo Account) บัญชีทดลองเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการฝึกฝนและทดลองกลยุทธ์การซื้อขายโดยไม่ต้องเสี่ยงกับเงินจริง บัญชีนี้จำลองสภาพแวดล้อมการเทรดจริง แต่ใช้เงินจำลองเพื่อให้ผู้ใช้ได้เรียนรู้วิธีการทำงานของตลาดและแพลตฟอร์มการเทรด
- บัญชีจริง (Real Account) เมื่อผู้ลงทุนพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดจริง สามารถเปิด บัญชีจริง ได้ ซึ่งมีหลายประเภท เช่น บัญชีมาตรฐาน, บัญชีมินิ, บัญชีไมโคร หรือบัญชีประเภทอื่น ๆ ที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีทุนและขนาดการซื้อขายที่แตกต่างกัน
รูปที่ 3 แสดงการเปรียบเทียบบัญชีซื้อขายจริงกับบัญชีทดลอง โดยบัญชีทดลองใช้สำหรับฝึกฝน มีเงินจำลองและประเภทเดียว ส่วนบัญชีจริงมีหลายประเภท ใช้เงินจริง และทำการซื้อขายจริง โดยมีการใช้เครื่องชั่งเปรียบเทียบข้อดีของแต่ละแบบ
- วิธีการเริ่มต้นในการเทรด Forex
สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นการ trading forex มีความเริ่มจากการเลือกโบรกเกอร์ให้เป็นเสียก่อนครับ เมื่อเราสามารถโบรกเกอร์จริง ๆ ที่ไม่ใช้โบรกเกอร์เถื่อนได้แล้ว เราจึงค่อยไปดูในเรื่องของวิธีการเทรดต่อไป ซึ่งหัวข้อนี้เราจะพูดถึงเรื่องการเลือกโบรกเกอร์แบบคร่าว ๆ แล้วไปเรียนรู้วิธีฝากถอนเงินครับ
- เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ โบรกเกอร์ที่ดีควรได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่มีชื่อเสียง เช่น FCA (Financial Conduct Authority) หรือ CySEC (Cyprus Securities and Exchange Commission) และควรมีแพลตฟอร์มการเทรดที่ใช้งานง่าย
- เปิดบัญชีและฝากเงิน เมื่อเลือกโบรกเกอร์แล้ว นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีและเริ่มฝากเงินเพื่อทำการซื้อขายได้ โดยแต่ละโบรกเกอร์อาจมีขั้นตอนการฝากเงินที่แตกต่างกัน เช่น การโอนเงินผ่านธนาคารหรือใช้บัตรเครดิต
หากใครไม่ค่อยถนัด หรือ ยังสับสนในการเลือกโบรกเกอร์อยู่ สามารถดูรายชื่อโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ฝากเงินถอนเงินได้จริง ผ่านการรับรองจาก Regulator ผ่านการคัดกรองอย่างพิถีพิถันจากเรา Thaibrokerforex ได้ฟรี ๆ --> Click
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นวิธีการศึกษารูปแบบและข้อมูลราคาจากกราฟเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาตลาดในอนาคต
- กราฟราคาและแนวโน้ม การดูกราฟราคาสามารถบ่งบอกถึง แนวโน้ม ของตลาด ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (bullish) หรือแนวโน้มขาลง (bearish) การวิเคราะห์แนวโน้มสามารถช่วยนักลงทุนหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสม
- Indicator ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เช่น Moving Average, Relative Strength Index (RSI), และ MACD เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการวิเคราะห์และให้ข้อมูลที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานใน Forex
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมุ่งเน้นไปที่เหตุการณ์และข้อมูลทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อตลาดฟอเร็กซ์
- ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น การประกาศดอกเบี้ย, ตัวเลขการจ้างงาน, และข้อมูลเศรษฐกิจระดับประเทศมีผลโดยตรงต่อราคาสกุลเงิน การติดตามข่าวสารเหล่านี้จึงมีความสำคัญสำหรับนักเทรด
- นโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินโดยธนาคารกลางสามารถส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาด ตัวอย่างเช่น การขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐอาจมีผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าได้
หากคุณต้องการเรียนรู้การเทรดแบบ Step by Step ฉบับมือใหม่สามารถเข้ามาอ่านเนื้อหาดี ๆ จากตรงนี้ได้ครับ --> Click เพื่ออ่านเพิ่มเติม
รูปที่ 4 ความรู้พื้นฐานในการเทรด Forex โดยเปรียบเทียบการวิเคราะห์สองแบบ ได้แก่ การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งช่วยคาดการณ์แนวโน้มราคา และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ที่ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเน้นให้ผู้เทรดเลือกใช้การวิเคราะห์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์
- การใช้เลเวอเรจและความเสี่ยง
การใช้เลเวอเรจ เป็นดาบสองคมที่นักลงทุนสามารถทำกำไรได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เสี่ยงต่อการขาดทุนที่สูงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้การใช้เลเวอเรจอย่างมีประสิทธิภาพควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวางแผนการจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม เช่น การตั้ง Stop Loss เพื่อลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนมากเกินไปซึ่งผมจะขอสรุปให้เข้าใจเพิ่มเติมดังนี้
- Leverage คือการใช้เงินทุนเพียงส่วนหนึ่งของนักลงทุนเอง แต่สามารถควบคุมเงินทุนจำนวนมากขึ้นผ่านการยืมเงินจากโบรกเกอร์
- Leverage ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปิดสถานะการซื้อขายที่ใหญ่กว่าทุนของตนเองได้
- ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินทุน 1,000 บาท และใช้ Leverage 1:100 คุณจะสามารถควบคุมการซื้อขายทองคำมูลค่า 100,000 บาทได้
- Leverage ทำให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
- หากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาดการณ์ คุณอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ทันที
- Margin Call เกิดขึ้นเมื่อโบรกเกอร์แจ้งเตือนให้นักลงทุนเติมเงินหรือปิดสถานะการซื้อขาย หากการขาดทุนมีมูลค่าเกินกว่าเงินทุนที่มีอยู่
- Leverage เป็นเครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง หากนักลงทุนบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นใช้ Leverage ระดับต่ำ เช่น 1:100 หรือไม่เกิน 1:500 เพื่อลดความเสี่ยง
- นักเทรดที่มีประสบการณ์และกลยุทธ์ที่ชัดเจนสามารถใช้ Leverage สูงถึง 1:2000 เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ Leverage เพื่อป้องกันการสูญเสียที่มากเกินไป
- การเลือกใช้ Leverage ที่เหมาะสมจะช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง
รูปที่ 5 แสดงการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของการใช้เลเวอเรจในการซื้อขาย โดยข้อดีรวมถึงโอกาสทำกำไรสูง ควบคุมการลงทุนได้มากขึ้น และผลตอบแทนรวดเร็ว ขณะที่ข้อเสียคือความเสี่ยงขาดทุนสูง ความสูญเสียทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น และความเสี่ยงในการถูก Margin Call โดยแนะนำให้ใช้อย่างระมัดระวัง
- Expert Advisors (EA) Forex
หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันสำหรับนักเทรดที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขายคือ EA Forex หรือ Expert Advisors แต่ฝรั่งมักจะเรียกมันว่า Robot ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ช่วยในการเทรดโดยอัตโนมัติ มันสามารถวิเคราะห์ตลาดและดำเนินการซื้อขายตามเงื่อนไขที่ผู้ใช้กำหนด ทำให้ลดความจำเป็นในการติดตามตลาดตลอดเวลา
EA คืออะไรและทำงานอย่างไร
EA เป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกพัฒนาเพื่อทำการซื้อขายตามชุดของกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ผู้ใช้สามารถตั้งค่ากลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การเปิดและปิดตำแหน่งตามสัญญาณการวิเคราะห์ทางเทคนิค นอกจากนี้ EA ยังช่วยในการจัดการความเสี่ยง เช่น การตั้ง Stop Loss และ Take Profit อัตโนมัติ
ข้อดีของการใช้ EA ในการเทรด
- ประหยัดเวลา: EA ช่วยลดเวลาที่ใช้ในการวิเคราะห์และติดตามตลาด
- ลดความผิดพลาดจากอารมณ์: เนื่องจาก EA ทำงานตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ล่วงหน้า ทำให้การตัดสินใจซื้อขายไม่ถูกกระทบจากความโลภหรือความกลัว
- ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง: EA สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเวลาที่ผู้ใช้ไม่สามารถติดตามตลาดได้
รูปที่ 6 แสดงข้อดีของการใช้ EA Forex ซึ่งรวมถึงการตั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อจัดการซื้อขาย
หาซื้อ EA Forex ได้ที่ไหน?
หากคุณกำลังมองหาสถานที่หรือแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือสำหรับการซื้อ EA Forex มีหลายแหล่งที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ แต่ควรพิจารณาถึงคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และบริการหลังการขาย เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับ EA ที่ตรงกับความต้องการและมีการสนับสนุนที่ดี
- MetaTrader Market
- เป็นอีกหนึ่งแหล่งที่คุณสามารถซื้อ EA Forex ได้คือ MetaTrader Market ซึ่งเป็นตลาดที่เชื่อมโยงโดยตรงกับแพลตฟอร์ม MetaTrader ทั้ง MT4 และ MT5 ภายใน MetaTrader Market มี EA ที่พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก รวมถึงการให้บริการซื้อขายและทดสอบ EA ได้ทันทีจากแพลตฟอร์ม
- ข้อดีของ MetaTrader Market คือคุณสามารถทดสอบ EA ด้วยการใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อดูว่ามันสามารถทำงานได้ตามความต้องการหรือไม่ก่อนที่จะซื้อ
- MQL5 Community
- ชุมชน MQL5 เป็นอีกหนึ่งแหล่งที่นักเทรดสามารถเข้ามาเลือกซื้อ EA Forex ที่มีคุณภาพสูง โดยภายในชุมชนนี้มีผู้พัฒนา EA มากมายจากทั่วโลกที่แบ่งปันและจำหน่ายโปรแกรมของพวกเขา นอกจากนี้ คุณยังสามารถติดตามผลลัพธ์ของ EA ที่เคยถูกทดสอบในตลาดจริงเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
- อย่างไรก็ตาม ในการเลือกซื้อ EA จากชุมชนหรือผู้พัฒนารายบุคคล ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า EA นั้นมีการสนับสนุนและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
10. การเสียภาษีจากกำไรการเทรด Forex: ต้องจ่ายหรือไม่? จ่ายอย่างไร?
การลงทุนในตลาด Forex อาจดูเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายคน และคำถามที่มักจะเกิดขึ้นกับนักเทรดมือใหม่คือ “ถ้าเราได้กำไรจากการเทรด Forex ต้องเสียภาษีไหม?” แม้ว่าประเทศไทยยังไม่มีการออกกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเทรด Forex แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ ถ้าคุณมีรายได้จากการเทรด คุณก็ยังต้องเสียภาษีตามกฎหมายอยู่ดี
แม้ว่ากฎหมายเกี่ยวกับ Forex จะยังไม่ครอบคลุมอย่างสมบูรณ์ในประเทศไทย แต่จากมุมมองของประมวลรัษฎากรที่ว่าผู้ใดที่มีรายได้ ไม่ว่าจะมาจากกิจกรรมประเภทใด ก็ต้องมีการเสียภาษีตามที่กำหนดไว้ เพราะถือเป็นหน้าที่ของประชาชนในการเสียภาษีตามรายได้
ประเภทของภาษีที่ต้องเสียจากการเทรด Forex
การกำหนดการเสียภาษีจากกำไรที่ได้จากการเทรด Forex สามารถเข้าได้ในหลายประเภท โดยปกติแล้วกำไรจากการเทรด Forex จะถือเป็น รายได้ ซึ่งอาจจะเข้าข่ายเสียภาษีเงินได้ประเภทที่ 4 (เงินได้จากการลงทุน) หรือประเภทที่ 8 (เงินได้อื่น ๆ) ขึ้นอยู่กับลักษณะการดำเนินการและการจัดเก็บข้อมูลของผู้เสียภาษี
รูปที่ 7 แสดงถึงความสำคัญของการจ่ายภาษีจากการเทรด Forex โดยเน้นขั้นตอนหลัก เช่น การเข้าร่วมการเทรด การสร้างรายได้ การเข้าใจหน้าที่ทางภาษี และสุดท้ายคือการชำระภาษี เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ
การคำนวณอัตราภาษีสำหรับกำไรจาก Forex
เมื่อพูดถึงภาษีที่ต้องเสียจากการเทรด Forex สำหรับบุคคลธรรมดา การคำนวณภาษีจะใช้หลักการแบบ ขั้นบันได หรืออัตราก้าวหน้า ซึ่งหมายความว่ายิ่งคุณมีรายได้มากเท่าไหร่ อัตราภาษีก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยทาง กรมสรรพากร มีการจัดเก็บภาษีตามอัตรารายได้ที่ผู้เสียภาษีได้รับ ซึ่งแบ่งเป็นช่วง ๆ เช่นเดียวกับภาษีเงินได้ทั่วไป
ตารางอัตราภาษีสำหรับบุคคลธรรมดามีดังนี้:
- รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท: ยกเว้นภาษี
- รายได้ตั้งแต่ 150,001 – 300,000 บาท: อัตราภาษี 5%
- รายได้ตั้งแต่ 300,001 – 500,000 บาท: อัตราภาษี 10%
- รายได้ตั้งแต่ 500,001 – 750,000 บาท: อัตราภาษี 15%
- รายได้ตั้งแต่ 750,001 – 1,000,000 บาท: อัตราภาษี 20%
- รายได้ตั้งแต่ 1,000,001 – 2,000,000 บาท: อัตราภาษี 25%
- รายได้ตั้งแต่ 2,000,001 – 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 30%
- รายได้มากกว่า 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 35%
การคำนวณภาษีจึงขึ้นอยู่กับจำนวนเงินกำไรที่คุณได้รับจากการเทรด Forex ในปีภาษีนั้น ๆ
ยื่นภาษีเมื่อไหร่?
กำไรจากการเทรด Forex ที่คุณได้รับจะต้องถูกนำมารวมกับรายได้อื่น ๆ ของคุณเพื่อคำนวณการเสียภาษี คุณจะต้องยื่นแบบภาษี ภ.ง.ด. 90/91 สำหรับบุคคลธรรมดา โดยการยื่นภาษีสำหรับปีภาษีที่ผ่านมา จะต้องทำภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป ยกตัวอย่างเช่น รายได้จากการเทรด Forex ที่เกิดขึ้นในปี 2566 คุณจะต้องนำมายื่นเสียภาษีภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567
สรุป
บทความนี้ได้สรุปภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการ trading forex ตั้งแต่พื้นฐานของตลาดฟอเร็กซ์ การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ไปจนถึงการจัดการความเสี่ยงและกลยุทธ์การเทรดต่าง ๆ ผู้อ่านที่ผ่านการอ่านบทความนี้จะได้เรียนรู้ถึง:
- ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการซื้อขายฟอเร็กซ์และวิธีการทำงานของตลาด
- คำศัพท์สำคัญและแนวคิดในการเทรดที่สำคัญ เช่น pips, lots, และ leverage
- เทคนิคและกลยุทธ์การวิเคราะห์ตลาดทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน
- การจัดการความเสี่ยงในการเทรด และบทบาทของจิตวิทยาในการเทรด
- การเลือกโบรกเกอร์และการเริ่มต้นลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์
- ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ EA Forex ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถซื้อขายอัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายภาษีเมื่อรวยจาก Forex
ผู้อ่านสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการเริ่มต้นหรือพัฒนาทักษะในการซื้อขายฟอเร็กซ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจากการลงทุน
อ้างอิง
- https://www.investopedia.com/terms/f/forex.asp
- https://www.babypips.com/learn/forex
- https://www.metatrader4.com/en
- https://www.tradingview.com/markets/currencies/
- https://www.xm.com/account-types
- https://www.exness.com/forex
- https://www.icmarkets.com/en/forex-trading
- https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-a-forex-expert-advisor-ea
- https://www.mql5.com/en/market
- https://www.mql5.com/en