กองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) คืออะไร

กองทุนบริหารความเสี่ยง หรือที่รู้จักกันมากที่สุดในชื่อ “เฮดจ์ฟันด์” (Hedge Fund) คือ กองทุนการลงทุนประเภทพิเศษที่รวบรวมเงินจากนักลงทุนที่มีฐานะดี และมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนสูง โดยเงินลงทุนจะถูกนำไปบริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายและไม่อ้างอิงตามเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark)

  • คำว่า “hedge” ในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า “การป้องกันความเสี่ยง” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษของกองทุนประเภทนี้ เหมือนกับนักมวยที่สามารถทั้งรุกและรับได้อย่างคล่องตัว โดยผู้จัดการกองทุนสามารถเล่นได้ทั้งฝั่งซื้อ (Long) และฝั่งขาย (Short) อย่างอิสระ
  • ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดดั้งเดิมของกองทุนประเภทนี้ที่ถูกออกแบบมา เพื่อสร้างผลตอบแทน โดยไม่ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดก็ตามนั้นเองค่ะ หรือถ้าจำให้เข้าใจได้ง่ายๆก็คือ กองทุนประเภทนี้มีกลยุทธ์ที่ช่วยให้สามารถทำกำไรได้แม้ในภาวะที่ตลาดกำลังตกต่ำ นั้นเองคะ

  • เฮดจ์ฟันด์เริ่มต้นครั้งแรกในปี 1949 โดย Alfred Winslow Jones
  • Bridgewater Associates ก่อตั้งโดย Ray Dalio ในปี 1975 เป็นเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่ง ปัจจุบันบริหารสินทรัพย์กว่า $160 พันล้าน

จุดประสงค์ของเฮดจ์ฟันด์

  • จุดประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนของลูกค้าในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น ขาลง หรือผันผวน โดยผู้จัดการกองทุนจะปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์ตลาดอยู่เสมอ

ลักษณะสำคัญของเฮดจ์ฟันด์

  • เน้นนักลงทุนรายใหญ่: ในสหรัฐฯ เฮดจ์ฟันด์มักเปิดรับเฉพาะ “นักลงทุนที่ได้รับการรับรอง” ซึ่งต้องมีรายได้อย่างน้อย 200,000 ดอลลาร์ต่อปี (300,000 ดอลลาร์สำหรับคู่สมรส) หรือมีทรัพย์สินสุทธิมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์
  • ความยืดหยุ่นในการลงทุนสูง: เฮดจ์ฟันด์สามารถลงทุนได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ และใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบใดก็ได้ เช่น การกู้ยืมเงินเพื่อเพิ่มการลงทุน (leverage) การทำธุรกรรมขายชอร์ต หรือการใช้ตราสารอนุพันธ์ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด หรือที่เรียกว่า “อัลฟ่าเป็นบวก”
  • ค่าธรรมเนียมสูง: เฮดจ์ฟันด์มักเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการประมาณ 2% ต่อปี และค่าธรรมเนียมผลการดำเนินงานอีก 20% ของกำไรที่เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (เรียกว่าโครงสร้าง “2 และ 20”)
  • ระยะเวลาล็อคเงิน: เมื่อนำเงินเข้าเฮดจ์ฟันด์ นักลงทุนอาจไม่สามารถถอนเงินได้ในทันที โดยมักมีช่วงเวลาล็อคเงิน และสามารถถอนได้เป็นรายไตรมาสหรือรายปีเท่านั้น

สินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้  

กองทุนรวมโดยทั่วไปจะจำกัดการลงทุนเฉพาะหุ้นและพันธบัตร ในขณะที่ Hedge fund สามารถเทรดสินทรัพย์ได้หลากหลาย 

  • หุ้น (Stocks)
  • พันธบัตร (Bonds)
  • กองทุนรวม (Mutual funds)
  • ฟอเร็กซ์ (Forex)
  • คริปโต (Cryptocurrencies) 
  • อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
  • ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เช่น ฟิวเจอร์ส (Futures), ออปชั่น (Options), สวอป (Swaps), เป็นต้น

😁บทความแนะนำ: เทรด Forex กับ หุ้น เปรียบเทียบอันไหนดีกว่ากัน แตกต่างกันอย่างไร

ข้อดีข้อเสียของเฮดจ์ฟันด์ ข้อมูลเชิงลึก

 

ข้อดี

  1. ความเป็นอิสระจากดัชนีตลาด
    • ต่างจากกองทุนรวมที่มักวัดผลงานเทียบกับดัชนี
    • เฮดจ์ฟันด์ไม่จำเป็นต้องทำตามดัชนีใดๆ 
    • ผู้จัดการสามารถถือเงินสดได้ 100% หากมองว่าตลาดมีความเสี่ยงสูงเกินไป หรือทำการขายชอร์ตได้เต็มที่หากเห็นว่าตลาดกำลังจะตกลง
    • ความอิสระนี้ทำให้สามารถปกป้องเงินของนักลงทุนได้ดีกว่าในช่วงตลาดขาลงค่ะ
  1. โครงสร้างค่าตอบแทนที่ซ่อนแรงจูงใจที่แท้จริง
    • โมเดล “2 และ 20” ที่มักพูดถึงนั้น โดย 20% ของกำไรนั้นมักจะมา พร้อมกับเงื่อนไข “High Water Mark” ซึ่งหมายความว่า ผู้จัดการจะไม่ได้รับค่าตอบแทนจากผลงานใหม่จนกว่าจะทำกำไรได้สูงกว่าจุดสูงสุดในอดีต 
    • สิ่งนี้ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีแรงจูงใจสูงในการรักษาเงินต้นของคุณ ไม่ใช่แค่ทำกำไรสูงๆ แบบเสี่ยงๆ ค่ะ
  1. ปรากฏการณ์ “ความเป็นพี่น้อง” ในวงการเฮดจ์ฟันด์
    • ในไทยและทั่วโลก ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ชั้นนำมักเคยทำงานร่วมกันหรือเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน
    • ปรากฏการณ์นี้สร้างเครือข่ายข้อมูลที่แข็งแก่ง ซึ่งหมายความว่า เฮดจ์ฟันด์มักรู้ข่าวสารและแนวโน้มตลาดก่อนที่ข้อมูลจะเป็นที่รู้กันทั่วไป ทำให้มีความได้เปรียบในการตัดสินใจลงทุนค่ะ
  1. การถูกจำกัดนักลงทุนมีเหตุผลที่ซับซ้อน
    • การที่เฮดจ์ฟันด์รับเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ไม่ได้เป็นเพียงเพราะต้องการเงินก้อนใหญ่อย่างเดียว
    • แต่ยังเป็นเพราะนักลงทุนรายย่อยมักถอนเงินเมื่อตลาดผันผวน ซึ่งบังคับให้ผู้จัดการต้องขายสินทรัพย์ในจังหวะที่แย่ที่สุดนั้นเอง
    • การรับเฉพาะนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูงและเข้าใจการลงทุน ช่วยให้ผู้จัดการสามารถดำเนินกลยุทธ์ระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
  1. ความลับในการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
    • เฮดจ์ฟันด์ที่ดีที่สุดไม่ได้พยายามทำกำไรสูงสุดในทุกสภาวะตลาด แต่พวกเขามุ่งเน้นที่การสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้
    • มักเรียกสิ่งนี้ว่า “การทำให้กราฟผลตอบแทนสวย” ซึ่งหมายถึง การเน้นความสม่ำเสมอมากกว่าผลตอบแทนสูงสุด เพราะนักลงทุนสถาบันชอบความแน่นอนมากกว่าความเสี่ยงสูงค่ะ

ข้อเสีย

  1. ปัญหา “ขนาดที่ใหญ่เกินไป”
    • เมื่อเฮดจ์ฟันด์ประสบความสำเร็จ มักจะดึงดูดเงินลงทุนจำนวนมากตามมาด้วย
    • แต่ยิ่งกองทุนใหญ่ขึ้น กลยุทธ์ดั้งเดิมที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น
    • ผลเนื่องจาก “การเคลื่อนไหวของกองทุนขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบต่อราคาตลาดเอง” ทำให้ผลตอบแทนมักแย่ลงเมื่อกองทุนเติบโตขึ้นค่ะ
  1. ความลับของ “ค่าใช้จ่ายซ่อนเร้น”
    • นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการจัดการและส่วนแบ่งกำไรที่ทุกคนรู้จัก ยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง
      • เช่น ค่าดูแลทรัพย์สิน ค่าธรรมเนียมนายหน้า และค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน
      • มีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 0.5-2% ต่อปี ซึ่งกัดกร่อนผลตอบแทนสุทธิของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัวค่ะ
  1. การมีส่วนร่วมในการลงทุนของผู้จัดการที่น้อยลง
    • ในอดีต ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์มักลงทุนส่วนใหญ่ของความมั่งคั่งส่วนตัวในกองทุนของตัวเอง 
    • ปัจจุบัน หลายคนร่ำรวยจากค่าธรรมเนียมการจัดการมากกว่าผลการดำเนินงานของกองทุน ทำให้มีแรงจูงใจในการดึงดูดเงินลงทุนใหม่มากกว่าการมุ่งเน้นที่ผลตอบแทน
    • ข้อทั้งหมดนี้ จึงเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่นักลงทุนควรระวังด้วยค่ะ
  1. การใช้กลยุทธ์เลียนแบบ (Crowded Trades)
    • เมื่อกลยุทธ์หนึ่งประสบความสำเร็จ เฮดจ์ฟันด์จำนวนมากมักเลียนแบบกัน ทำให้เกิดปัญหา “การซื้อขายที่แออัด”
    • เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นทุกกองทุนอาจพยายามออกจากตำแหน่งพร้อมกัน ส่งผลให้ราคาตกอย่างรุนแรงและสร้างความเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ
  1. ผลตอบแทนที่อาจถูก “แต่งแต้ม”
    • เฮดจ์ฟันด์บางแห่งอาจมีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่ซื้อขายยากในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง โดยเฉพาะ เมื่อเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาตลาดชัดเจน
    • ทำให้ผลการดำเนินงานที่รายงานออกมาดูดีกว่าความเป็นจริง
    • จึงเป็นความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลยุทธ์ที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีสภาพคล่องค่ะ

สิ่งที่ทำให้เฮดจ์ฟันด์แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไป

เฮดจ์ฟันด์มีลักษณะพื้นฐานที่คล้ายคลึงกับกองทุนรวมทั่วไป คือ เป็นการรวบรวมเงินลงทุนจากผู้ลงทุนหลายราย แต่มีความแตกต่างสำคัญหลายอย่าง ดังนี้

1. อิสระในการลงทุนแบบไร้ขีดจำกัด

เฮดจ์ฟันด์มีอิสระในการลงทุนมากกว่ากองทุนรวมทั่วไป ซึ่งสามารถลงทุนได้ในทุกอย่างตั้งแต่หุ้น พันธบัตร ไปจนถึงอสังหาฯ สกุลเงิน หรือแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันและทองคำ ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือ เฮดจ์ฟันด์สามารถใช้เทคนิคการลงทุนที่กองทุนรวมทั่วไปทำไม่ได้ เช่น:

  • การทำ Short Selling หรือการ “ขายของที่ยังไม่มี” โดยยืมหุ้นมาขายก่อน แล้วค่อยซื้อคืนทีหลังเมื่อราคาลดลง
  • การใช้ Leverage หรือการ “กู้ยืมเงินมาลงทุนต่อ” เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้มากขึ้น ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น (แต่ก็ขาดทุนได้มากขึ้นเช่นกัน!)
  • การใช้ ตราสารอนุพันธ์ ที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็น ฟิวเจอร์ส ออปชั่น หรือสวอป

2. สภาพคล่องต่ำ… แต่มีเหตุผล

  • ถ้ากองทุนรวมทั่วไปเปรียบเสมือนบัญชีเงินฝากที่ถอนได้เกือบทุกเมื่อ
  • เฮดจ์ฟันด์กลับเป็นเหมือนเงินฝากประจำที่มีกำหนดเวลา มีการล็อคเงินของคุณไว้ระยะหนึ่ง (Lock-up period) ที่อาจนานตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึง 1-2 ปี
  • แม้พ้นช่วงล็อคแล้ว คุณก็ยังถอนเงินได้เฉพาะช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น อาจเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือแม้กระทั่งปีละครั้ง
  • ทำไมต้องเข้มงวดขนาดนี้? เพราะเฮดจ์ฟันด์มักลงทุนในสินทรัพย์ที่ขายออกยาก และต้องการความแน่นอนในการวางแผนการลงทุนระยะยาว ไม่อยากให้เกิดการแตกตื่นถอนเงินพร้อมกัน (Bank run) นั่นเองค่ะ

3. ความเสี่ยงสูง… แต่ได้โอกาสทำกำไรมากกว่า

  • เฮดจ์ฟันด์เหมือนกับการเล่นเกมระดับยาก ที่มีทั้งความท้าทายและรางวัลมากกว่า ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อนและยืดหยุ่น ทำให้เฮดจ์ฟันด์แต่ละกองมีโปรไฟล์ความเสี่ยงที่แตกต่างกันมาก
  • บางกองทุนอาจมีความผันผวนสูงมาก ในขณะที่บางกองทุนอาจเน้นการรักษาเงินต้นเป็นหลัก จุดที่น่าสนใจคือ เฮดจ์ฟันด์สามารถทำกำไรได้แม้ในภาวะตลาดขาลง ซึ่งเป็นสิ่งที่กองทุนรวมทั่วไปทำได้ยาก
  • เปรียบเหมือนกับนักมวยที่สามารถชกได้ทั้งมวยรุกและมวยรับ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามคู่ต่อสู้ ในขณะที่กองทุนรวมทั่วไปอาจเหมือนนักมวยที่ถนัดแค่มวยรุกอย่างเดียว พอเจอคู่ที่แข็งแกร่งกว่าก็รับมือยาก!

4. ค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้น… แต่เป็นการจ่ายตามผลงาน

เฮดจ์ฟันด์มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปอย่างชัดเจน โดยมักจะใช้โมเดล “2 และ 20” อันโด่งดัง นั่นคือ:

  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ 2% ของเงินลงทุนทั้งหมด (กองทุนรวมทั่วไปเก็บประมาณ 1-1.5%)
  • ค่าธรรมเนียมผลการดำเนินงาน 20% ของกำไรที่ทำได้ (กองทุนรวมทั่วไปแทบไม่มีค่าธรรมเนียมส่วนนี้)

เหมือนกับการจ้างเชฟระดับมิชลิน ที่นอกจากค่าจ้างพื้นฐานแล้ว ยังต้องให้โบนัสตามผลงานอีกด้วย! ที่น่าสนใจคือ มันเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้จัดการกองทุนพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด เพราะยิ่งทำกำไรให้นักลงทุนมาก พวกเขาก็ยิ่งได้รับค่าตอบแทนมากตามไปด้วย

5. เข้าถึงยาก… เพราะไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน

เฮดจ์ฟันด์ไม่ใช่กองทุนสำหรับนักลงทุนทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาสำหรับ “คนรวยจริง” เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสถาบัน (เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกัน) หรือบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (Ultra-High-Net-Worth Individuals)

บทบาทหน้าที่ของ เฮดจ์ฟันด์ คืออะไร?

หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับเฮดจ์ฟันด์กันไปแล้ว มาต่อยอดความเข้าใจกันด้วยการพูดถึงบทบาทหน้าที่สำคัญของเฮดจ์ฟันด์ในระบบการเงินกันค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งแล้ว เฮดจ์ฟันด์ยังมีหน้าที่สำคัญอีกหลายอย่างที่น่าสนใจมากๆ เลยนะคะ

การทำงานของเฮดจ์ฟันด์

เฮดจ์ฟันด์สร้างความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนระหว่างผู้จัดการกองทุนและนักลงทุน ผู้จัดการกองทุนจะนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้มอบเงินมาบริหาร เมื่อนักลงทุนตัดสินใจลงทุนแล้ว จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 2 ประเภท เพื่อเป็นผลตอบแทนให้กับผู้จัดการกองทุน คือ

  1. ค่าธรรมเนียมการจัดการ
  2. ค่าส่วนแบ่งจากผลกำไร 

บทบาทหลักของเฮดจ์ฟันด์

ถ้าเปรียบเฮดจ์ฟันด์เป็นนักแสดง พวกเขาก็เป็นนักแสดงหลายบทบาทที่มีความสามารถรอบด้านเลยล่ะค่ะ บทบาทสำคัญของเฮดจ์ฟันด์มีดังนี้

  • สร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งในทุกสภาวะตลาด – ไม่ว่าพายุเศรษฐกิจจะพัดมาแรงแค่ไหน เฮดจ์ฟันด์ก็มีเป้าหมายที่จะฝ่าคลื่นลมนั้นและยังคงทำกำไรได้ ไม่ว่าตลาดจะกำลังเฟื่องฟูหรือซบเซา ต่างจากกองทุนทั่วไปที่มักจะโบกมือลาผลกำไรเมื่อตลาดดิ่งลง
  • เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยง – ชื่อ “เฮดจ์” นั้นมาจากคำว่า “hedging” ซึ่งหมายถึงการป้องกันความเสี่ยงโดยตรง เหมือนเป็นร่มกันฝนในวันที่ตลาดเจอพายุ ช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องเปียกปอนจนเกินไปเมื่อเจอวิกฤติเศรษฐกิจ
  • เติม สภาพคล่อง ให้ตลาด – ด้วยการซื้อขายที่คล่องตัวและสม่ำเสมอ เฮดจ์ฟันด์ช่วยหล่อลื่นเฟืองจักรของตลาดให้หมุนไปได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะในตลาดที่ซื้อขายยาก ทำให้ราคาไม่กระโดดโลดเต้นเหมือนลิงถูกน้ำร้อนลวก
  • เสาะหาความไม่สมดุลของราคา – เฮดจ์ฟันด์เปรียบเสมือนนักสืบราคา ที่คอยสอดส่องหาสินทรัพย์ที่ราคาเพี้ยนไปจากความเป็นจริง (ไม่ว่าจะถูกหรือแพงเกินไป) แล้วเข้าไปปรับสมดุล ซึ่งในระยะยาวช่วยทำให้ตลาดยุติธรรมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เฮดจ์ฟันด์ คือ พันธมิตรที่ช่วยนักลงทุนได้อย่างไร?

ช่วยกระจายความเสี่ยงอย่างแท้จริง

  • เฮดจ์ฟันด์มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้มันเคลื่อนไหวไม่เหมือนกับสินทรัพย์ทั่วไป
  • โดยมี ค่าความสัมพันธ์ (correlation) ต่ำกับตลาดหุ้นและพันธบัตร นั่นหมายความว่า ในช่วงที่ตลาดหลักกำลังปรับตัวลง
  • เฮดจ์ฟันด์อาจจะยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก ช่วยรักษาเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ดี

ช่วยเปิดโอกาสสู่การลงทุนที่หลากหลาย

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเฮดจ์ฟันด์คือ การเข้าถึงโอกาสการลงทุนพิเศษที่นักลงทุนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก เช่น:

  • ตราสารอนุพันธ์ที่มีความซับซ้อน
  • สินค้าโภคภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะ
  • การซื้อขายกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ

ทำให้ได้รับประโยชน์จากผู้เชี่ยวชาญระดับสูง

  • เฮดจ์ฟันด์มักดึงดูดผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถสูง มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมีประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาดอย่างลึกซึ้ง
  • ทำให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากความรู้และกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ต้องติดตามตลาดด้วยตัวเองตลอดเวลา

ช่วยสร้างเสถียรภาพในช่วงตลาดผันผวน

  • จุดเด่นสำคัญ ของเฮดจ์ฟันด์ คือ ความสามารถในการรับมือกับความผันผวนของตลาด ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
  • เฮดจ์ฟันด์สามารถช่วยลดความเสียหายและรักษาเสถียรภาพของพอร์ตการลงทุนไว้ได้
  • ทำให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความท้าทายอีกด้วย

เฮดจ์ฟันด์ในประเทศไทย 

ในประเทศไทย สำนักงาน ก.ล.ต. อนุญาตให้เฮดจ์ฟันด์เสนอขายได้เฉพาะกับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่านักลงทุนเข้าใจและรับความเสี่ยงสูงได้ นักเขียนเองแนะนำให้อ่าน ข้อมูลจาก สำนักงาน ก.ล.ต. ก่อนนะคะ

จากเอกสารของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรื่อง “หลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่” พบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการกำกับดูแลเฮดจ์ฟันด์ในประเทศไทย ดังนี้

เจตนารมณ์และที่มา

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วงการการลงทุนทั่วโลกได้พัฒนากลยุทธ์การลงทุนและเครื่องมือทางการเงินที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งให้ผลตอบแทนที่แตกต่างจากการลงทุนแบบดั้งเดิม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงพิจารณาแนวทางการอนุญาตให้มีการจัดตั้ง “กองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเฮดจ์ฟันด์ในต่างประเทศ

การอนุญาตให้มีกองทุนลักษณะนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:

  • ส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ ที่หลากหลาย
  • เสริมสร้างสภาพคล่องในตลาดทุน
  • เพิ่มประสิทธิภาพของตลาดทุนไทย
  • เพิ่มทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ตระหนักดีว่าการลงทุนในลักษณะนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนแบบทั่วไป จึงกำหนดให้เปิดโอกาสเฉพาะผู้ลงทุนที่มีศักยภาพและความพร้อมในการรับความเสี่ยงในระดับที่สูงขึ้น เท่านั้น

คุณสมบัติของผู้จัดการกองทุน

การบริหารกองทุนประเภทนี้ต้องการความเชี่ยวชาญพิเศษ ดังนั้น ผู้จัดการกองทุนต้องมีคุณสมบัติดังนี้:

  • ต้องผ่านคุณสมบัติของผู้จัดการกองทุนตราสารอนุพันธ์ (Derivative Fund Manager)
  • ต้องมีประสบการณ์ในการจัดการกองทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี

คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจว่าผู้จัดการกองทุนมีความรู้และประสบการณ์เพียงพอในการบริหารกองทุนที่ใช้กลยุทธ์ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง

คุณสมบัติของผู้ลงทุน

ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถลงทุนในกองทุนประเภทนี้ได้ ก.ล.ต. ได้จำกัดให้เฉพาะผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) เท่านั้น โดยวัดจากมูลค่าสินทรัพย์ไม่รวมหนี้สิน (Gross Asset) ดังนี้:

  • บุคคลธรรมดา:
    • ต้องมีสินทรัพย์มูลค่าไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท
  • นิติบุคคล: 
    • ต้องมีสินทรัพย์มูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
    • ต้องได้รับมติอนุมัติจากคณะกรรมการของนิติบุคคลนั้น
    • ต้องไม่เป็นมูลนิธิ องค์กรการกุศล หรือกองทุนรวม

นอกจากนี้ ยังกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลงทุนมีความพร้อมทางการเงินเพียงพอ

ข้อกำหนดในการลงทุน

กองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่มีกรอบการลงทุนที่ยืดหยุ่นกว่ากองทุนทั่วไป แต่ก็ยังมีข้อกำหนดเพื่อให้มีความรับผิดชอบ ดังนี้:

  • ต้องลงทุนในหลักทรัพย์เป็นทรัพย์สินหลัก
  • สามารถลงทุนในทรัพย์สินอื่นได้บางส่วนตามที่ตกลงกับลูกค้าไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
  • ต้องไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่ผิดกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคม
  • ต้องไม่ถือครองทรัพย์สินเพื่อบุคคลอื่น (Nominee) เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย

คู่ค้าหรือคู่สัญญา

เพื่อลดความเสี่ยงระบบและให้มีการกำกับดูแลที่เหมาะสม กองทุนต้องทำธุรกรรมกับคู่สัญญาดังนี้:

  • การลงทุนในผลิตภัณฑ์นอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC Products) ต้องทำกับคู่สัญญาในประเทศเท่านั้น
  • มีข้อยกเว้นสำหรับกองทุนที่มีผู้ลงทุนทั้งหมดเป็นนักลงทุนสถาบันที่ได้รับอนุญาตหรืออนุมัติวงเงินต่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งสามารถลงทุนกับคู่สัญญาที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับดูแลด้านหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกสามัญของ IOSCO (International Organization of Securities Commissions)

การใช้เลเวอเรจ (Leverage)

กองทุนสามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุนได้ แต่มีกรอบที่ชัดเจน:

  • สามารถทำ ธุรกรรมซื้อคืน (Repo) กับสถาบันการเงินหรือนิติบุคคลตามที่กำหนด เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันภัย เป็นต้น
  • สามารถทำธุรกรรมยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ แต่เฉพาะกับคู่สัญญาที่เป็นนักลงทุนประเภทสถาบัน
  • สามารถทำธุรกรรมขายชอร์ต (Short Selling) ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

ทั้งนี้ ระดับการใช้เลเวอเรจสูงสุดต้องไม่เกินกว่าที่เปิดเผยแก่ผู้ลงทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนรับทราบความเสี่ยงที่แท้จริง

การเปิดเผยข้อมูลและการรายงาน

ความโปร่งใสคือกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น บริษัทจัดการต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอให้ผู้ลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล:

  1. ต้องจัดทำเอกสารข้อมูล (Brochure Rule) ที่ระบุอย่างน้อย
    • ประเภทและกลยุทธ์การลงทุน
    • ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
    • ประเภทลูกค้าที่เหมาะสม
    • ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบริษัทและผู้จัดการกองทุน
    • การกำหนดมูลค่ายุติธรรม
    • การจัดเก็บค่าธรรมเนียม
  2. ต้องจัดทำรายงานตามรอบระยะเวลา โดยเปิดเผยข้อมูลอย่างน้อย
    • ความเห็นของผู้จัดการกองทุนต่อผลการดำเนินงานและแนวโน้มในอนาคต
    • ข้อมูลทั่วไปของกองทุน ผลการดำเนินงาน ความเสี่ยง และค่าใช้จ่าย
    • งบการเงินและรายงานผู้สอบบัญชี
    • รายชื่อผู้ดูแลผลประโยชน์ (Custodian) และผู้บริหารของบริษัทจัดการ

การกำหนดมูลค่ายุติธรรมและค่าธรรมเนียม

ความเป็นธรรมในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์และการเก็บค่าธรรมเนียมเป็นสิ่งสำคัญ:

  • การกำหนดมูลค่ายุติธรรมต้องเป็นไปตามวิธีการของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือหากไม่มีกำหนดไว้ ต้องใช้วิธีการคำนวณที่เป็นธรรมและได้มาตรฐานสากล
  • ต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมอย่างน้อยเดือนละครั้ง
  • ต้องระบุวิธีการจัดเก็บและคำนวณค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน

บทบาทแนวโน้มของเฮดจ์ฟันด์ในประเทศไทย

เฮดจ์ฟันด์ไทย: ตลาดที่กำลังเติบโต

ถ้าเปรียบวงการเฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกเป็นเหมือนป่าใหญ่ที่มีต้นไม้หลากหลายสูงใหญ่ วงการเฮดจ์ฟันด์ในไทยคงเป็นเพียงแปลงป่าอ่อนที่กำลังเติบโต ถึงตอนนี้เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเมื่อเทียบกับตลาดยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐหรือยุโรปที่มีประวัติยาวนานหลายทศวรรษ

การที่ ก.ล.ต. เปิดทางให้จัดตั้ง กองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับตลาดทุนไทย คงเหมือนการเปิดประตูบานใหม่ให้ต้นกล้าได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ทุกวันนี้ คุณจะเห็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดัง ๆ หลายแห่งในไทยเริ่มลงเล่นในสนามนี้แล้ว พวกเขากำลังนำเสนอกองทุนส่วนบุคคลที่มีรูปแบบคล้ายเฮดจ์ฟันด์มากขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนรวยและสถาบันการเงินใหญ่ ๆ แต่ถ้าเปรียบเทียบขนาดกับกองทุนรวมทั่วไป ก็ยังเป็นแค่เด็กตัวน้อยในครอบครัวการลงทุนของไทย

ความแตกต่างที่น่าสนใจ: เฮดจ์ฟันด์ไทย vs. เฮดจ์ฟันด์ต่างประเทศ

  • เฮดจ์ฟันด์ไทยและต่างประเทศเหมือนพี่น้องที่เติบโตในสภาพแวดล้อมต่างกัน แม้จะมี DNA เดียวกัน แต่ก็มีบุคลิกต่างกันอย่างเห็นได้ชั
  • เรื่องขนาดและความหลากหลาย เฮดจ์ฟันด์ไทยยังเป็นเหมือนร้านอาหารเล็ก ๆ ที่มีเมนูไม่กี่อย่าง แต่เฮดจ์ฟันด์ในต่างประเทศเป็นเหมือนห้างสรรพสินค้าอาหารขนาดใหญ่ที่มีทุกอย่างให้เลือก มีทั้งกองทุนขนาดหลายหมื่นล้านดอลลาร์และกลยุทธ์แปลกใหม่มากมาย
  • ด้านกฎระเบียบ เฮดจ์ฟันด์ไทยถูกควบคุมเข้มงวดกว่ามาก ก.ล.ต. ของเราคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องคุณสมบัติของผู้ลงทุนและการเปิดเผยข้อมูล แต่ต่างประเทศจะให้อิสระมากกว่า
  • ส่วนผู้จัดการกองทุน เฮดจ์ฟันด์ต่างประเทศมีโค้ชระดับปรมาจารย์ที่สั่งสมประสบการณ์มานาน บางคนอยู่ในวงการมาเป็นสิบ ๆ ปี ขณะที่ผู้จัดการกองทุนไทยส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้กลยุทธ์ซับซ้อนแบบนี้
  • สำหรับการลงทุนระหว่างประเทศ เฮดจ์ฟันด์ไทยเหมือนนักเดินทางที่มีวีซ่าจำกัด ลงทุนต่างประเทศได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะกับคู่สัญญาต่างประเทศ ขณะที่เฮดจ์ฟันด์ระดับโลกเป็นเหมือนนักเดินทางที่มีพาสปอร์ตทองคำ ไปได้ทุกที่ ลงทุนได้ทั่วโลกอย่างอิสระ

ตารางเปรียบเทียบ: เฮดจ์ฟันด์ไทย VS เฮดจ์ฟันด์ต่างประเทศ

ประเด็นเฮดจ์ฟันด์ไทยเฮดจ์ฟันด์ต่างประเทศ
ขนาดเล็ก (เหมือนร้านอาหารเล็กๆ)ใหญ่มาก (เหมือนห้างสรรพสินค้า)
กฎระเบียบเข้มงวดยืดหยุ่นกว่า
ผู้จัดการกองทุนประสบการณ์น้อยประสบการณ์สูง
การลงทุนต่างประเทศมีข้อจำกัดลงทุนได้ทั่วโลก

ทั้งคู่มี DNA เดียวกัน แต่เติบโตในสภาพแวดล้อมต่างกัน ทำให้มีบุคลิกและความสามารถที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เฮดจ์ฟันด์ไทยยังอยู่ในช่วงเติบโต ในขณะที่เฮดจ์ฟันด์ต่างประเทศเป็นผู้เล่นที่เติบโตเต็มที่แล้วในตลาดการเงินโลก

กลยุทธ์โปรดของเฮดจ์ฟันด์ไทย

เฮดจ์ฟันด์ไทยมีชุดเครื่องมือที่เหมาะกับตลาดบ้านเรา ซึ่งมีกลยุทธ์ที่เหมาะกับคนไทยมากที่สุด ดังนี้ค่ะ

กลยุทธ์ Equity Long/Short ได้รับความนิยมมากที่สุด

  • คุณอาจนึกภาพง่าย ๆ ว่า เป็นการเดิมพันทั้งสองด้านในเกมเดียวกัน
  • โดยซื้อหุ้นที่คิดว่า “จะวิ่งขึ้น” ไว้ในมือซ้าย และในขณะเดียวกันก็ “ขายชอร์ต” หุ้นที่คิดว่าจะร่วงลงไว้ในมือขวา ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง คุณก็ยังมีโอกาสทำกำไร เหมาะกับตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนบ่อยครั้ง

กลยุทธ์ Market Neutral

  • เปรียบเหมือนการยืนตรงกลางระหว่างสองฟากฝั่ง ไม่เอนเอียงไปทางใด โดยสร้างสมดุลระหว่างการซื้อและขาย เพื่อลดความเสี่ยงจากความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม 
  • เหมือนเรือที่มีใบสองข้างคอยทำให้ทรงตัวได้ดีแม้ในทะเลที่มีคลื่นลมนั้นเองคะ

กลยุทธ์ Event-Driven

  • ถือว่าเป็นอีกกลยุทธ์ที่น่าสนใจ คอยจับตาและลงทุนตามเหตุการณ์สำคัญ ๆ เช่น การควบรวมกิจการหรือการปรับโครงสร้างบริษัท ซึ่งในไทยมีการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นทุกปี

กลยุทธ์ Fixed Income Arbitrage

  • เป็นการหาส่วนต่างของราคาในตลาดตราสารหนี้ เหมือนคนที่เห็นว่าร้านขายเหล้าสองร้านข้าง ๆ กันตั้งราคาต่างกัน ก็ซื้อจากร้านถูกไปขายที่ร้านแพง
  • กลยุทธ์นี้เริ่มได้รับความสนใจเพราะตลาดตราสารหนี้ไทยมีการพัฒนามากขึ้น

เรื่องภาษีและกฎหมายที่ควรรู้

เรื่องภาษีเงินได้ ผลตอบแทนจากกองทุนส่วนบุคคลไม่เหมือนกองทุนรวมทั่วไป คุณต้องนำผลตอบแทนไปรวมคำนวณในการยื่นภาษีเงินได้ประจำปี เหมือนกับที่คุณต้องรวมเงินเดือนหรือรายได้อื่น ๆ ไม่ใช่ภาษีที่หักไว้แล้วตอนขายหน่วยลงทุนแบบกองทุนรวม

นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เหมือนกับการซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไป และคุณอาจต้องเปิดเผยการลงทุนนี้ในแบบแสดงรายการทรัพย์สินต่อหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย

สำหรับคนที่มีทรัพย์สินมูลค่าสูง การวางแผนสืบทอดทรัพย์สินก็สำคัญ เพราะเงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่ามาก เหมือนกับที่คุณต้องวางแผนให้ดีว่าใครจะดูแลทรัพย์สินของคุณเมื่อคุณไม่อยู่แล้ว

ทางเลือกสำหรับคนที่ไม่รวยมาก

  • เฮดจ์ฟันด์อาจดูเหมือนคลับสุดหรูที่เฉพาะคนรวยเท่านั้นที่เข้าได้ แต่จริง ๆ แล้ว คนที่มีเงินลงทุนไม่มากก็มีทางเลือกเหมือนกัน
  • คุณสามารถมองหากองทุนรวมที่ลงทุนในเฮดจ์ฟันด์ (Fund of Hedge Funds) ซึ่งเปรียบเหมือนตั๋วผ่านประตูพิเศษที่ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์เฮดจ์ฟันด์โดยไม่ต้องมีเงินก้อนใหญ่ กองทุนประเภทนี้จะนำเงินไปลงทุนในเฮดจ์ฟันด์หลาย ๆ กอง ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดเงินลงทุนขั้นต่ำ
  • หรือคุณอาจเลือกกองทุนรวมทางเลือก (Alternative Investment Fund) ที่ใช้กลยุทธ์คล้ายเฮดจ์ฟันด์ แต่อยู่ภายใต้กฎระเบียบของกองทุนรวมทั่วไป เข้าถึงง่ายกว่าก็ได้เช่นกัน
  • บางคนอาจเลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตลาด หรือกองทุนที่ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ ซึ่งมีลักษณะบางอย่างคล้ายเฮดจ์ฟันด์

ประโยชน์ของเฮดจ์ฟันด์ต่อพอร์ตการลงทุน

  • ประโยชน์ของเฮดจ์ฟันด์ต่อพอร์ตการลงทุน คือ ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีมาก เพราะผลตอบแทนของเฮดจ์ฟันด์มักไม่สัมพันธ์กับสินทรัพย์ทั่วไปอย่างหุ้นหรือพันธบัตร
  • เห็นได้จากค่า Correlation ที่มักจะเข้าใกล้ศูนย์หรือติดลบ นั่นหมายความว่าเมื่อตลาดหุ้นตกหนัก เฮดจ์ฟันด์อาจจะยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดี ช่วยลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตลงค่ะ
  • สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ เฮดจ์ฟันด์ไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปลงทุนได้ง่ายๆ นะคะ ส่วนใหญ่ hedge fund จะจำกัดเฉพาะนักลงทุนที่มีฐานะดีจริงๆ หรือนักลงทุนสถาบันเท่านั้น
  • ในอเมริกาต้องมีทรัพย์สินสุทธิอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ หรือมีรายได้ต่อปีมากกว่า 200,000 ดอลลาร์ จึงจะมีสิทธิ์ลงทุนได้
  • สำหรับคนไทย เราสามารถเข้าถึงเฮดจ์ฟันด์ได้ผ่าน กองทุน UI หรือกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่มีเงินลงทุนสูงได้เข้าถึงสินทรัพย์ทางเลือกเหล่านี้ค่ะ

เครื่องมือที่เฮดจ์ฟันด์ใช้ทำงาน

เฮดจ์ฟันด์มีกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายและน่าสนใจค่ะ แต่ละกลยุทธ์มีจุดเด่นและวิธีการทำงานแตกต่างกันไป ลองมาทำความเข้าใจแต่ละประเภทกันนะคะ (จะมีหลาย ๆ ตัวที่ Hedge Fund ของไทยนำไปใช้เช่นกัน)

Long/Short Equity

  • กลยุทธ์นี้เป็นหนึ่งในเทคนิคดั้งเดิมที่สุดของเฮดจ์ฟันด์ค่ะ
  • โดยผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • จากนั้นจะซื้อหุ้นในบริษัทที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดี และขายหุ้นในบริษัทที่คาดว่าจะมีผลประกอบการแย่
    • ตัวอย่างเช่น อาจซื้อหุ้น Toyota แต่ขายหุ้น Ford หากวิเคราะห์แล้วว่า Toyota จะทำผลงานได้ดีกว่า
    • การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวมได้ค่ะ

Global Macro

  • กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการมองภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลกค่ะ
  • ผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น อัตราดอกเบี้ย นโยบายการเงิน และแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยใช้วิธีการลงทุนตามทิศทางนั้น
    • ตัวอย่างเช่น หากวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
    • จึงลงทุนในสกุลเงินหยวน หรือบริษัทที่จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนค่ะ

Event-Driven

  • กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการทำกำไรจากเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อราคาหลักทรัพย์ค่ะ
  • โดยทั่วไปแล้ว ผู้จัดการกองทุนจะติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อระบุโอกาสในการลงทุนจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การควบรวมกิจการ การปรับโครงสร้างหนี้ หรือบริษัทที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน
  • ความรวดเร็วในการวิเคราะห์และตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับกลยุทธ์นี้นะคะ

Market Neutral

  • กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายหลัก คือ การลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาดให้เหลือน้อยที่สุดค่ะ
  • โดยรักษาสัดส่วนการลงทุนระหว่างการซื้อและขายให้สมดุลกัน ทำให้ผลตอบแทนไม่ขึ้นอยู่กับว่าตลาดจะขึ้นหรือลง แต่มาจากความสามารถในการเลือกหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนดีกว่าและแย่กว่าตลาด
  • กลยุทธ์นี้จึงเน้นการสร้างผลตอบแทนที่มีเสถียรภาพสูงและความผันผวนต่ำค่ะ

Merger Arbitrage

  • กลยุทธ์นี้เน้นการทำกำไรจากส่วนต่างราคาในการควบรวมกิจการค่ะ
  • เมื่อมีประกาศการควบรวม ราคาหุ้นของบริษัทเป้าหมาย (ที่กำลังจะถูกซื้อ) มักจะขึ้นไปใกล้กับราคาเสนอซื้อ แต่ยังคงต่ำกว่าเล็กน้อย เนื่องจากความไม่แน่นอนว่าการควบรวมจะสำเร็จหรือไม่
  • ผู้จัดการกองทุนจะซื้อหุ้นของบริษัทเป้าหมาย และอาจขายหุ้นของบริษัทผู้ซื้อ เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างนี้ค่ะ

Quantitative Trading

  • กลยุทธ์นี้ใช้วิทยาศาสตร์ข้อมูลและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในการระบุโอกาสการลงทุนค่ะ
  • ผู้จัดการกองทุนจะพัฒนาอัลกอริทึมและโมเดลเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก และทำการซื้อขายอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยความเร็วและความแม่นยำของคอมพิวเตอร์
  • ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์นี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

5 กองทุน Hedge Fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและกลยุทธ์ที่ใช้

สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าตลาด Hedge Fund อย่างไม่ต้องสงสัย และมี Hedge Fund กองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Hedge fundทรัพย์สินภายใต้การบริหาร(พันล้านดอลลาร์)กลยุทธ์หลัก
Citadel Investment Group218Multi-strategy / commodities
Berkshire Hathaway208Long Equity
Renaissance Technologies113.6Arbitrage
AQR Capital Management89.6Multi-strategy
DE Shaw80Quantitative trading

บทสรุป

เฮดจ์ฟันด์เป็นเหมือน “คลับการลงทุนสำหรับคนรวย” ที่รวบรวมเงินจากผู้มีฐานะดีและสถาบันมาบริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ แทนที่จะลงทุนแบบเดียวกับกองทุนรวมทั่วไปที่มักซื้อหุ้นและถือไว้รอราคาขึ้น เฮดจ์ฟันด์สามารถใช้เทคนิคพิเศษได้มากมาย

จุดเด่นของเฮดจ์ฟันด์ คือ ความยืดหยุ่นในการทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและลง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็รับมือได้ และบางกองทุนสามารถทำกำไรได้แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ตลาดหุ้นดิ่งลง

การลงทุนในเฮดจ์ฟันด์มีข้อควรระวังหลายประการ

  • ค่าธรรมเนียมแพงมาก โดยทั่วไปเก็บ 2% ต่อปีของเงินลงทุนทั้งหมด บวกกับอีก 20% ของกำไรที่ทำได้
  • ขาดความโปร่งใส เนื่องจากไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลมากเหมือนกองทุนรวม จึงยากที่จะรู้ว่าเงินของคุณถูกนำไปลงทุนอะไรบ้าง
  • ถอนเงินยาก มักมีช่วงเวลาล็อคเงินและจำกัดการถอน ซึ่งอาจเป็นปัญหาหากคุณต้องการเงินด่วน

สำหรับคนทั่วไปที่มีเงินออมไม่มาก การลงทุนในกองทุนรวมดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำน่าจะเหมาะสมกว่า แต่สำหรับคนที่มีเงินลงทุนมากและต้องการลดความผันผวนในพอร์ต การจัดสรรเงินบางส่วน (ไม่เกิน 5-10%) ไปยังเฮดจ์ฟันด์คุณภาพดีอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

สุดท้ายนี้ หากคุณสนใจลงทุนในเฮดจ์ฟันด์ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่เป็นกลาง ศึกษาประวัติผลงานของกองทุนอย่างละเอียด และเข้าใจว่านี่เป็นการลงทุนระยะยาวที่อาจไม่สามารถถอนเงินได้ทันทีเมื่อต้องการ คุณควรแน่ใจว่ามีเงินสำรองเพียงพอสำหรับความต้องการใช้เงินระยะสั้นก่อนที่จะผูกมัดเงินก้อนใหญ่กับการลงทุนประเภทนี้

แหล่งอ้างอิง

FAQ – เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับกองทุนบริหารความเสี่ยง (Hedge Fund)

มีจริง! Medallion Fund กองทุนเรือธง (flagship fund) ของ Renaissance Technologies ที่บริหารโดย Jim Simons ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 66% (ก่อนหักค่าธรรมเนียม) ตั้งแต่ปี 1988 ถึง 2018 ทำผลตอบแทนเหนือ Warren Buffett หรือ George Soros ขาดลอย 
เพราะคนทั่วไปมักถอดใจถอนเงินเวลาตลาดแกว่งแรง ทำให้กลยุทธ์เสียหาย เค้าจึงเลือกคนที่ “เข้าใจเกม” และมีเงินเย็นจริง ๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพและโฟกัสที่ผลระยะยาวตามเป้าที่วางไว้
เฮดจ์ฟันด์เก็บ 2% ของเงินลงทุนทุกปี + 20% จากกำไรที่เกินเป้าหมาย ฟังดูแพง แต่คนรวยยังยอมจ่ายเพราะพวกเขาไม่ได้ซื้อแค่กองทุน แต่ซื้อ “โอกาส” ที่กองทุนธรรมดาให้ไม่ได้

ในอดีต.. ผู้จัดการมักลงทุนด้วยเงินตัวเองเพื่อแสดงความเชื่อมั่นและ “เดินไปพร้อมนักลงทุน”

แต่ปัจจุบัน.. บางคนมีรายได้มหาศาลจากค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเอาเงินตัวเองเสี่ยงอีก

แต่ในมุมของนักลงทุน.. ถ้าเห็นผู้จัดการไม่ลงทุนเองเลย มันก็อดคิดไม่ได้ว่า “ถ้าคุณยังไม่มั่นใจ แล้วทำไมฉันต้องมั่นใจ?

  1. ดูในเอกสาร Disclosure หรือ Fact Sheet → กองทุนเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งจะมีช่องที่ระบุว่า ผู้จัดการมีการลงทุนร่วม (Co-Investment) 
  2. ดูสัดส่วน % การถือหน่วยลงทุนของทีมบริหาร
  3. ดูในรายงานประจำปี หรือ Audit Report (ถ้ามี) 
  4. ถ้าเป็นขาใหญ่ก็สามารถถามตรง ๆ เวลา Due Diligence ได้เลย

 

 

เขียนโดย

Poomipat Wonganun

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon