- ระดับมาร์จิ้น (Margin Levels) คือเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยงในโลกของการเทรด
- ช่วยบ่งชี้ถึงความสามารถในการรองรับการเปิดคำสั่งซื้อหรือขายในตลาด
- ช่วยให้นักลงทุนสามารถติดตามสถานะการเทรดในบัญชีได้อย่างใกล้ชิด
- การคำนวณระดับมาร์จิ้นจะเกี่ยวข้องกับ เงินในบัญชี (Equity) และ มาร์จิ้นที่ใช้ (Used Margin)
- การเลือกระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสม สามารถช่วยให้คุณตัดสินใจในการเทรดได้อย่างมั่นใจ
- ป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนที่อาจเกิดจากการใช้มาร์จิ้นในปริมาณมากเกินไป
- ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับระดับมาร์จิ้นในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
- รวมถึงวิธีการคำนวณและความสำคัญของระดับมาร์จิ้นสำหรับการเทรด
แน่นอนเลยครับว่าสิ่งสำคัญคือ การเข้าใจระดับมาร์จิ้นจะช่วยให้จัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับระดับมาร์จิ้น (Margin Levels)
- ระดับมาร์จิ้น (Margin Level) คือแนวคิดสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องเข้าใจในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (CFD)
- มาร์จิ้น คือเงินที่ต้องใช้ในการเปิดสถานะการเทรด ซึ่งจะถูกฝากไว้กับโบรกเกอร์เพื่อให้สามารถเปิดการซื้อขายในปริมาณมากกว่าทุนที่มีอยู่จริง
- ตัวอย่างเช่น หากคุณมีมาร์จิ้นที่ 1% และฝากเงิน 1,000 ดอลลาร์ คุณสามารถเปิดคำสั่งซื้อได้ถึง 100,000 ดอลลาร์ โดยที่มามาจาก 1,000 ÷ 1% = 100,000
- ระดับมาร์จิ้น จะบอกคุณถึงสภาพคล่องที่สามารถใช้ได้ในแต่ละเวลาที่เทรด
- ตัวของระดับมาร์จิ้นจะช่วยให้ทราบว่าเมื่อใดที่มาร์จิ้นของคุณจะลดลงจนทำให้เกิดการเรียกมาร์จิ้น (Margin Call) หรือปิดคำสั่งการเทรดโดยอัตโนมัติหากระดับมาร์จิ้นลดต่ำเกินไป
- โดยทั่วไปแล้ว มาร์จิ้น จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ครับ ตัวอย่างเช่น
- 100%
- 50%
- 20%
- 1%
- หากเทรดในปริมาณที่สูงเกินไป โดยใช้มาร์จิ้นที่ต่ำเกินไป อาจเสี่ยงต่อการขาดทุนที่มากขึ้น
- Margin Level กับ Stop Out Level หมายถึงสิ่งเดียวกัน!
- Stop Out Level คือระดับที่โบรกเกอร์กำหนด (มักอยู่ระหว่าง 0-50%) เมื่อระดับมาร์จิ้นลดลงถึงจุดนี้ โบรกเกอร์จะทำการปิดคำสั่งเพื่อรักษาความสมดุลในบัญชีและป้องกันการติดลบ
- โบรกเกอร์จะระบุ Stop Out Level ในรายละเอียดของบัญชีเทรด เช่น หาก Stop Out Level อยู่ที่ 50% หมายความว่าเมื่อ Margin Level ลดลงต่ำกว่า 50% โบรกเกอร์จะเริ่มปิดคำสั่งที่เปิดอยู่
การเข้าใจระดับมาร์จิ้น เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการจัดการความเสี่ยงในการเทรด ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดนั้นสามารถตัดสินใจในการเปิดและปิดคำสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปที่ 1: ภาพสแดงถึงคำว่า “มีมาร์จิ้น 1%” จะหมายถึง ฝากเงิน 1,000 ดอลลาร์ แต่เปิดคำสั่งเทรดได้มากถึง 1 แสนเลยทีเดียว
ระดับมาร์จิ้น ทำไมถึงสำคัญ
- การจัดการความเสี่ยง
- การมีระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสมช่วยให้คุณจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น
- หากมาร์จิ้นสูงเกินไป ตัวอย่างเช่นโบรกเกอร์ Forex ที่ให้ Leverage สูง จะเพิ่มความเสี่ยงของการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
- การคำนวณความสามารถในการเปิดสถานะ
- ระดับมาร์จิ้นช่วยให้คุณรู้ว่าคุณสามารถเปิดการเทรดได้มากน้อยแค่ไหนโดยไม่เสี่ยงที่จะโดน Margin Call
- หากไม่สามารถรักษาระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสมได้ บัญชีของคุณอาจถูกปิดคำสั่งโดยอัตโนมัติ
- การติดตามสถานะการเทรด
- การรู้ระดับมาร์จิ้นของคุณช่วยให้คุณติดตามสถานะของบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- คุณจะรู้ว่าคุณยังมีทุนเหลือเพียงพอในการเปิดคำสั่งหรือไม่ หรือกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกปิดคำสั่ง
- ลดโอกาสการเกิด Margin Call
- เมื่อระดับมาร์จิ้นลดต่ำลงมากเกินไป คุณอาจต้องเติมเงินเพิ่มเพื่อให้บัญชีของคุณอยู่ในระดับที่โบรกเกอร์ยอมรับได้
- หากไม่ทำเช่นนั้น ระบบอาจทำการปิดคำสั่งของคุณเพื่อลดความเสี่ยง
- การปรับกลยุทธ์การเทรด
- การเข้าใจระดับมาร์จิ้นจะช่วยให้ปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับทุนที่มี โดยไม่ทำให้บัญชีเสี่ยงมากเกินไป
- ช่วยในการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นในระหว่างการเทรด ว่าควรออกออเดอร์ Lot เท่าไหร่นั่นเองครับ
ระดับมาร์จิ้น ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมความเสี่ยงในตลาดการเงินอีกทั้งยังช่วยให้สามารถตัดสินใจในการเปิดและปิดคำสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องทุนและลดความเสี่ยงจากการเทรดที่ไม่สามารถควบคุมได้
รูปที่ 2: ภาพนี้พูดถึงความสำคัญของ ระดับมาร์จิ้น กับ ทั้ง 2 เรื่องที่สำคัญ คือ การจัดการความเสี่ยง และ ลดโอกาสในการเกิด Margin Call
การคำนวณระดับมาร์จิ้น
- ต้องเข้าใจถึงปัจจัยหลักในการคำนวณ ซึ่งประกอบด้วย
- ทุนในบัญชี (Equity)
- มาร์จิ้นที่ใช้ (Used Margin)
- Equity หมายถึงยอดเงินที่คุณมีในบัญชีหลังจากหักผลกำไรหรือขาดทุนจากการเทรด
- Used Margin คือจำนวนเงินที่คุณใช้ในการเปิดสถานะเทรด
- ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการรองรับการเทรดของคุณ
- ตัวอย่างการคำนวณ
- สมมติว่าในบัญชีของคุณมี Equity = 5,000 ดอลลาร์ และ Used Margin = 1,000 ดอลลาร์
- ผลลัพธ์ที่ได้คือ 500% ซึ่งหมายความว่าคุณมีเงินในบัญชีมากพอที่จะรองรับการเทรดในจำนวนมาก และยังมีความสามารถในการเปิดคำสั่งเพิ่มได้
- ความหมายของระดับมาร์จิ้น
- หากระดับมาร์จิ้นสูง ตัวอย่างเช่น 100% ขึ้นไป จะบ่งบอกว่าเทรดเดอร์มีเงินในบัญชีเพียงพอและยังมีความสามารถในการรองรับการขาดทุนได้
- หากระดับมาร์จิ้นต่ำเกินไป เช่น ต่ำกว่า 100% อาจบ่งบอกว่าเทรดเดอร์ใช้มาร์จิ้นมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิด Margin Call หรือการปิดสถานะโดยอัตโนมัติจากโบรกเกอร์หากมาร์จิ้นลดลงถึงระดับที่กำหนด
- การคำนวณในสภาพตลาดจริง
- การคำนวณระดับมาร์จิ้นในสภาวะตลาดจริงสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรเปิดการเทรดเพิ่มเติมหรือไม่
- ควรติดตามระดับมาร์จิ้นอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการขาดทุนที่เกิดจากการที่ระดับมาร์จิ้นลดลงต่ำเกินไป
- ความสำคัญของการรักษาระดับมาร์จิ้น
- การรักษาระดับมาร์จิ้นในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถเปิดคำสั่งและจัดการการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มาร์จิ้นที่สูงเกินไปอาจเสี่ยงต่อการขาดทุน แต่ถ้ามาร์จิ้นต่ำเกินไปอาจทำให้บัญชีของคุณเสี่ยงที่จะโดน Margin Call
รูปที่ 3: ภาพแสดงถึงการคำนวณระดับมาร์จิ้น สูตรคำนวณ พร้อมกับ ยกตัวอย่าง
ระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสมในการเทรด
- การเลือกระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณยอมรับและกลยุทธ์การเทรดของตัวเอง
- นักเทรดที่มีประสบการณ์และสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี อาจเลือกใช้มาร์จิ้นที่สูงขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร
- หากยังเป็นมือใหม่ หรือไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูง ควรใช้มาร์จิ้นที่ต่ำกว่าหรือกำหนดระดับมาร์จิ้นที่ปลอดภัยกว่า
หากมาร์จิ้นต่ำ (ต่ำกว่า 100%)
- ระดับมาร์จิ้นต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุน เนื่องจากคุณใช้มาร์จิ้นน้อยและมีทุนในบัญชีมากขึ้น
- เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความระมัดระวังและไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูง
- อย่างไรก็ตาม มาร์จิ้นต่ำอาจจำกัดปริมาณการเทรดที่สามารถเปิดได้
หากมาร์จิ้นสูง (มากกว่า 100%)
- การเลือกใช้มาร์จิ้นสูงช่วยให้คุณสามารถเปิดสถานะการเทรดได้มากขึ้น โดยใช้เงินทุนที่น้อยกว่า
- เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรดในปริมาณมาก
- แต่การใช้มาร์จิ้นสูงก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น และอาจทำให้เกิด Margin Call หากมาร์จิ้นลดต่ำเกินไป
ระดับมาร์จิ้นที่แนะนำสำหรับการเทรดทั่วไป
- ในการเทรดฟอเร็กซ์หรือ CFD ระดับมาร์จิ้นที่แนะนำมักจะอยู่ที่ประมาณ 100% หรือสูงกว่านั้น ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของแต่ละคน
- การใช้มาร์จิ้นที่สูงกว่า 100% จะช่วยให้คุณสามารถเปิดตำแหน่งใหญ่ขึ้น แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกินขีดความสามารถในการรองรับการขาดทุน
- ระดับมาร์จิ้นที่ต่ำกว่า 100% เหมาะสำหรับผู้ที่มีความระมัดระวังในการเทรด
การคำนึงถึงความเสี่ยง
- ความเสี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกระดับมาร์จิ้น ควรคำนึงถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองและปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความผันผวนของตลาด
- แนะนำให้ไม่ใช้มาร์จิ้นเกิน 50% ของทุนที่มีในบัญชี โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นเทรด
การบริหารจัดการทุน Money Management
- การตั้งเป้าหมายระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสมช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ควรตรวจสอบระดับมาร์จิ้นในบัญชีอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าไม่เสี่ยงต่อการขาดทุนมากเกินไป
ยกตัวอย่าง ระดับ มาร์จิ้นที่เหมาะสมในการเทรด
ตัวอย่างการเลือกใช้ระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสมในการเทรด ยกมาให้ดู 3 ตัวอย่างแบบเข้าใจง่าย ๆ
ตัวอย่างที่ 1 เทรดเดอร์มือใหม่ (ใช้มาร์จิ้นต่ำ)
- สมมติว่า คุณเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ ที่เพิ่งเริ่มเทรดฟอเร็กซ์ และไม่ต้องการรับความเสี่ยงสูง
- คุณเลือก ระดับมาร์จิ้นที่ต่ำ โดยใช้มาร์จิ้นเพียง 50% สำหรับการเปิดตำแหน่งเทรด
- Equity (เงินในบัญชี): 5,000 ดอลลาร์
- Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้): 2,500 ดอลลาร์
- ผลลัพธ์: คุณมี ระดับมาร์จิ้น 200% ซึ่งบ่งบอกว่าคุณใช้มาร์จิ้นน้อยและมีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้ดี คุณจึงสามารถเปิดคำสั่งซื้อเพิ่มเติมได้หากต้องการ โดยไม่เสี่ยงเกินไปจากการขาดทุนที่เกิดขึ้น
ข้อดี
- คุณมีทุนในบัญชีมากพอที่จะรองรับการขาดทุนได้
- ความเสี่ยงต่ำในการถูก Margin Call
- เหมาะกับการเทรดในช่วงเริ่มต้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจ
รูปที่ 4: ภาพแสดงถึงการเลือกมาร์จิ้นที่เหมาะสมกับการเทรด สำหรับมือใหม่
ตัวอย่างที่ 2: เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ (ใช้มาร์จิ้นสูง)
- สมมติว่า คุณเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ และต้องการใช้มาร์จิ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
- คุณเลือกใช้ ระดับมาร์จิ้นที่สูง โดยเลือกใช้ มาร์จิ้น 10%
- Equity (เงินในบัญชี): 10,000 ดอลลาร์
- Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้): 1,000 ดอลลาร์
- ผลลัพธ์: คุณมี ระดับมาร์จิ้น 1,000% ซึ่งหมายความว่าคุณใช้มาร์จิ้นต่ำมากและมีทุนในบัญชีเหลือมากพอที่จะรับมือกับการขาดทุนจากการเทรดในปริมาณมาก
ข้อดี
- คุณสามารถเปิดคำสั่งการเทรดในปริมาณมากขึ้น
- เหมาะสำหรับการเทรดในตลาดที่มีความมั่นคงและสามารถคาดการณ์ได้
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไรในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวตามทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้
ข้อเสีย
- หากตลาดผันผวนหรือมีความผิดพลาดในการคาดการณ์ จะทำให้คุณขาดทุนได้เร็วขึ้น
- มีความเสี่ยงที่จะถูก Margin Call หากไม่ติดตามระดับมาร์จิ้นอย่างใกล้ชิด
รูปที่ 5: ภาพแสดงถึงการเลือกมาร์จิ้นที่เหมาะสมกับการเทรด สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์
คลิป
แน่นอนว่าพวกเรานำคลิปวีดีโอดี ๆ มาฝากอีเช่นเคย จากช่อง Lucid Trader กับ การอธิบายเรื่อง Margin, Free Margin และ Margin level คืออะไร
- Margin, Free Margin และ Margin level คืออะไร: Margin, Free Margin และ Margin level คืออะไร – YouTube
สรุป
- ระดับมาร์จิ้น (Margin Level) คือเครื่องมือสำคัญในการเทรดที่ใช้ในการจัดการความเสี่ยง
- การคำนวณระดับมาร์จิ้น
- คำนวณจาก Equity (เงินในบัญชี) และ Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้)
- ช่วยบ่งชี้ถึงความสามารถในการรองรับการเทรดและการจัดการการเปิดสถานะการเทรดในปริมาณที่เหมาะสม
การเลือกระดับมาร์จิ้นที่เหมาะสม
- การใช้มาร์จิ้นสูงเกินไปอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนเร็วเกินไป
- การใช้มาร์จิ้นต่ำอาจจำกัดโอกาสในการทำกำไร
- การปรับระดับมาร์จิ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดและกลยุทธ์ของคุณจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเทรด
การเข้าใจและจัดการระดับมาร์จิ้น
- การทำความเข้าใจเกี่ยวกับระดับมาร์จิ้นจะช่วยให้คุณจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรด
- การควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรในตลาดที่ผันผวนได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย
อ้างอิง :
Margin Level: https://www.xtb.com/en/education/margin-level
What is Margin Level? : https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-margin-level
What is margin in trading and how does it work? : https://www.axi.com/int/blog/education/margin-trading
Forex Margin: What Is Margin in Forex Trading? : https://www.dukascopy.com/swiss/english/marketwatch/articles/forex-margin/
What is the Margin Level in Forex? : What is the Margin Level in Forex? | B2Prime