การเทรดข่าว หรือ การเทรดโดยอาศัยข่าว คืออะไร?

การเทรดข่าว (News Trading) คือ กลยุทธ์ การเทรดทำกำไรในระยะสั้น โดยอาศัยความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ตลาด Forex ซึ่งเป็นตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวสารสูง เทรดเดอร์จะวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางของตลาดหลังข่าวออก เพื่อเข้าทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น

หัวใจสำคัญของการเทรดข่าวคือ การเข้า-ออกออเดอร์ให้ถูกจังหวะ หากคาดการณ์ทิศทางได้แม่นยำ ก็สามารถสร้างผลกำไรก้อนใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน หากคาดการณ์ผิดพลาดหรือเข้าผิดจังหวะ ก็อาจทำให้ขาดทุนอย่างหนักได้เช่นกัน

การเทรดข่าวมีหลักการอย่างไร?

หลักการสำคัญที่สุดของการเทรดข่าวคือ การทำกำไรจากความคาดไม่ถึงของตลาด โดยอาศัยความแตกต่างระหว่างตัวเลขเศรษฐกิจ (Forex Factory) ที่ ประกาศจริง (Actual) กับตัวเลขที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ (Forecast) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้

1. ช่วงก่อนข่าวออก – “การซื้อตามข่าวลือ” (The Rumor)

นี่คือช่วงเวลาที่กลยุทธ์ “เทรดตามความคาดการณ์ (Trading the Forecast)” และส่วนแรกของ “Buy the Rumor, Sell the Fact” เกิดขึ้น

  • เกิดอะไรขึ้น: ในช่วงหลายชั่วโมงหรือหลายวันก่อนข่าวสำคัญจะออก นักลงทุนรายใหญ่ สถาบันการเงิน และเทรดเดอร์ที่มีข้อมูลเชิงลึก จะเริ่มวิเคราะห์และคาดการณ์ผลลัพธ์ของข่าว พวกเขาจะเริ่มเข้าซื้อขาย (เปิด Position) เพื่อดักทางไว้ล่วงหน้า การกระทำนี้เรียกว่า “การวางตำแหน่ง” (Positioning)
  • หลักการ:
    • ตลาดจะเริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ “คาดการณ์ (Forecast)” ไว้ล่วงหน้า
    • ตัวอย่าง: หากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงาน (NFP) ของสหรัฐฯ จะออกมาดีมาก (สูงกว่าครั้งก่อน) ตลาดก็จะเริ่ม “ซึมซับ” ข่าวดีนี้เข้าไปก่อน โดยการเข้า Buy สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทำให้ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น ก่อนที่ข่าวจะประกาศจริงเสียอีก
  • ใครใช้กลยุทธ์นี้: เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สูง หรือนักลงทุนสถาบันที่ต้องการเข้าเทรดด้วยต้นทุนที่ดีที่สุดก่อนที่ตลาดจะผันผวนรุนแรง

2. ณ เวลาข่าวออก – “การเทรดตามข่าวจริง” (The News Release)

ช่วงเวลาที่กลยุทธ์ “เทรดตามข่าวจริง (Trading the News Release)” ถูกนำมาใช้ และเป็นช่วงที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากที่สุด

  • เกิดอะไรขึ้น: ณ เวลาที่ข่าวประกาศจริง ตลาดจะเกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงและฉับพลันต่อ “ความประหลาดใจ” หรือความแตกต่างระหว่าง ตัวเลขจริง (Actual) กับ ตัวเลขคาดการณ์ (Forecast)
  • หลักการ (เป็นกฎพื้นฐานที่สุด):
    • กรณีที่ 1: ผลลัพธ์ “เซอร์ไพรส์” ตลาด
      • ถ้า Actual ดีกว่า Forecast อย่างมีนัยสำคัญ: กราฟจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงตามทิศทางนั้น (เช่น USD แข็งค่าขึ้นอีก) เทรดเดอร์ที่รอจังหวะนี้จะเข้า Buy ตามทันที
      • ถ้า Actual แย่กว่า Forecast อย่างมีนัยสำคัญ: กราฟจะดิ่งลงอย่างรุนแรง (เช่น USD อ่อนค่าลง) เทรดเดอร์จะเข้า Sell
    • กรณีที่ 2: ผลลัพธ์ “เป็นไปตามคาด”
      • ถ้า Actual ใกล้เคียงกับ Forecast มาก: ตลาดอาจไม่เคลื่อนไหวรุนแรง หรืออาจเกิดเหตุการณ์ในองก์ที่ 3 ต่อไป
  • ใครใช้กลยุทธ์นี้: เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ (รายย่อย) ที่ต้องการความแน่นอนของข้อมูลก่อนตัดสินใจ และยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนสูง (Slippage, Spread ถ่าง) ในช่วงเวลานี้

3. ช่วงหลังข่าวออก – “การขายเมื่อข่าวจริงออก” (The Fact)

ช่วงเวลาที่ส่วนที่สามของกลยุทธ์ “Buy the Rumor, Sell the Fact” เกิดขึ้น และเป็นช่วงที่สร้างความสับสนให้เทรดเดอร์มือใหม่มากที่สุด

  • เกิดอะไรขึ้น: หลังจากที่ราคาพุ่งไปตามข่าวในช่วงแรกแล้ว สักพักราคาอาจ วิ่งสวนทางกลับมาอย่างรุนแรง แม้ว่าข่าวจะออกมาดีก็ตาม
  • หลักการ:
    • ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะนักลงทุนกลุ่มแรก (ในองก์ที่ 1) ที่ได้เข้า Buy ดักไว้ล่วงหน้า ได้เห็นแล้วว่าข่าวจริงออกมาดีตามที่พวกเขาคาดการณ์ไว้
    • เมื่อไม่มีปัจจัยใหม่ๆ ให้คาดหวังต่อแล้ว พวกเขาจึงเริ่ม “ขายเพื่อทำกำไร” (Take Profit) การเทขายจำนวนมากนี้เองที่กดดันให้ราคาวิ่งสวนกลับลงมา
    • สรุปง่ายๆ คือ: ราคาไม่ได้ตกเพราะข่าวไม่ดี แต่ตกเพราะ “แรงขายทำกำไร” หลังจากที่ข่าวดีได้ถูกรับรู้ไปหมดแล้ว
  • ใครใช้กลยุทธ์นี้: เป็นการอธิบายพฤติกรรมของ “ผู้เล่นรายใหญ่” และเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะนำมาพิจารณาเพื่อหาจังหวะเข้าเทรดสวน หรือใช้เป็นจุดออกจากออเดอร์ของตัวเอง

ตารางภาพรวมในการเทรดข่าว

กลยุทธ์ช่วงเวลาที่เข้าเทรดหลักการ/เหตุผลเหมาะสำหรับ
เทรดตามความคาดการณ์ก่อนข่าวออกเดิมพันว่าตัวเลขจริงจะออกมาตามที่คาดการณ์ เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ดีที่สุดเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ (ความเสี่ยงสูง)
เทรดตามข่าวจริงทันทีที่ข่าวออกเทรดตามปฏิกิริยาของตลาดต่อความแตกต่างระหว่าง "ตัวเลขจริง" และ "ตัวเลขคาดการณ์"เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ (เป็นหลักการพื้นฐาน)
Buy the Rumor, Sell the Factก่อนข่าวออก (Buy) และ หลังข่าวออก (Sell)เข้าซื้อเมื่อตลาดยังเป็นแค่ "ข่าวลือ" และขายทำกำไรเมื่อ "ข่าวจริง" ได้รับการยืนยันแล้วเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สูงเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมตลาดเชิงลึก

ความสำคัญของข่าวกับการเทรด Forex

ข่าวสาร โดยเฉพาะข่าวเศรษฐกิจ คือ ตัวขับเคลื่อนหลักที่สร้างความเคลื่อนไหวและสภาพคล่องให้กับตลาด Forex อย่างมหาศาล สกุลเงินของแต่ละประเทศเปรียบเสมือนหุ้นของประเทศนั้นๆ ดังนั้น สุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศจึงสะท้อนออกมาในค่าเงิน

การติดตามและทำความเข้าใจข่าวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะข่าวจากสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น สิ่งจำเป็น สำหรับเทรดเดอร์ Forex ทุกคน เพื่อที่จะเข้าใจทิศทางของตลาดและหาโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

1. ข่าวคือ “ชีพจร” ของเศรษฐกิจที่สะท้อนในค่าเงิน

ในโลกของ Forex ข่าวเศรษฐกิจ ก็คือ รายงานผลประกอบการของประเทศ

  • ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP): เปรียบได้กับ “ยอดขายรวม” ของประเทศ ถ้า GDP เติบโตดี ก็เหมือนบริษัทที่มียอดขายเพิ่มขึ้น หุ้น (ค่าเงิน) ก็น่าสนใจ
  • อัตราการจ้างงาน (Employment Rate / NFP): เหมือนกับ “กำลังการผลิตและขวัญกำลังใจของพนักงาน” ถ้าคนมีงานทำเยอะ ก็มีเงินจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจก็หมุนเวียนดี
  • อัตราเงินเฟ้อ (CPI): คล้ายกับ “นโยบายการตั้งราคาสินค้า” ของบริษัท ถ้าเงินเฟ้อสูงเกินไป ธนาคารกลางอาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุม ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยจะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อสกุลเงินเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่า
  • อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest Rate): นี่คือ “เงินปันผล” ที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือสกุลเงินนั้นๆ ประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า (เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีความมั่นคงใกล้เคียงกัน) ย่อมดึงดูดเงินทุนไหลเข้าได้ดีกว่า

ดังนั้น เมื่อมีข่าวเหล่านี้ประกาศออกมา เทรดเดอร์ทั่วโลกจะตีความข่าวเหล่านั้นเพื่อ “แนวโน้ม” ของประเทศ แล้วจึงตัดสินใจเข้าซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) สกุลเงินนั้นๆ

2. ทำไมข่าวจากสหรัฐอเมริกาจึงเป็น “ศูนย์กลางของตลาด”

เหตุผลที่ข่าวจากสหรัฐฯ มีอิทธิพลเหนือข่าวจากประเทศอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะโครงสร้างของระบบการเงินโลกที่ผูกโยงกับเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) อย่างแยกไม่ออก

A. USD คือสกุลเงินสำรองหลักของโลก (World’s Reserve Currency)

คือเหตุผลที่สำคัญที่สุด เงินดอลลาร์ไม่ใช่แค่เงินของอเมริกา แต่เป็น “ภาษากลางทางการเงินของโลก”

  • การค้าขายสินค้าระหว่างประเทศ: สินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในโลก เช่น น้ำมันดิบ และ ทองคำ ถูกซื้อขายและตั้งราคาเป็นสกุลเงิน USD เป็นหลัก ไม่ว่าประเทศไหนจะซื้อหรือขายน้ำมัน ก็ต้องทำธุรกรรมผ่านเงิน USD ทำให้เกิดความต้องการ (Demand) เงินดอลลาร์อยู่ตลอดเวลา
  • ทุนสำรองระหว่างประเทศ: ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะถือครองเงิน USD ไว้เป็นส่วนใหญ่ของทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของตนเอง
  • หนี้สินระหว่างประเทศ: การกู้ยืมเงินระหว่างประเทศหรือบริษัทข้ามชาติ มักจะทำในรูปของสกุลเงิน USD

B. ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก (The World’s Largest Economy)

เศรษฐกิจสหรัฐฯ เปรียบเสมือน “เครื่องยนต์หลักของรถไฟเศรษฐกิจโลก” หากเครื่องยนต์นี้ทำงานได้ดี รถไฟทั้งขบวนก็จะวิ่งไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าเครื่องยนต์สะดุด ทั้งขบวนก็ย่อมได้รับผลกระทบ

  • ผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด: สหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก เมื่อชาวอเมริกันมีกำลังซื้อสูง ก็จะสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่นๆ เช่น จีน, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นเติบโตตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว การนำเข้าก็จะลดลงและส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าโดยตรง
  • ศูนย์กลางการลงทุน: ตลาดหุ้นและตลาดการเงินของสหรัฐฯ (เช่น Wall Street) เป็นตลาดที่ใหญ่และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูดี เงินทุนจากทั่วโลกก็จะไหลเข้ามาลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า การเคลื่อนย้ายเงินทุนมหาศาลนี้เองที่ทำให้ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้นและส่งผลกระทบต่อค่าเงินสกุลอื่น

C. คู่เงินหลักส่วนใหญ่ผูกติดกับ USD (Most Major Pairs are Tied to USD)

ในตลาด Forex คู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก (Major Pairs) ล้วนมี USD เป็นองค์ประกอบ เช่น:

  • EUR/USD (ยูโร vs ดอลลาร์สหรัฐ)
  • GBP/USD (ปอนด์อังกฤษ vs ดอลลาร์สหรัฐ)
  • USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ vs เยนญี่ปุ่น)
  • USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ vs ฟรังก์สวิส)
  • AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย vs ดอลลาร์สหรัฐ)
  • USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ vs ดอลลาร์แคนาดา)

ข่าว Forex ที่ส่งผลกระทบรุนแรง

ข่าวเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่เทรดเดอร์ทั่วโลกจับตามอง และมักสร้างความผันผวนให้ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

การประชุมธนาคารกลาง (FED, ECB, BOE, BOJ):

  • การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Decision): สำคัญที่สุด! การขึ้นดอกเบี้ยทำให้สกุลเงินแข็งค่า การลดดอกเบี้ยทำให้อ่อนค่า
  • ถ้อยแถลงนโยบายการเงิน: คำพูดหรือแถลงการณ์ของประธานธนาคารกลาง (เช่น ประธาน FED) สามารถให้เบาะแสเกี่ยวกับทิศทางนโยบายในอนาคตและส่งผลต่อตลาดอย่างรุนแรง

ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Non-Farm Payrolls – NFP):

  • คือ: รายงานจำนวนการจ้างงานใหม่ในสหรัฐฯ (ไม่รวมภาคเกษตร) ประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน
  • ความสำคัญ: เป็นตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยตรง
  • ผลกระทบ: NFP สูงกว่าคาด = USD แข็งค่า, NFP ต่ำกว่าคาด = USD อ่อนค่า

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product – GDP):

  • คือ: มูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตในประเทศ
  • ความสำคัญ: เป็นมาตรวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กว้างที่สุด
  • ผลกระทบ: GDP สูงกว่าคาด = เศรษฐกิจเติบโตดี = สกุลเงินแข็งค่า

ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI):

  • คือ: การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคจ่าย
  • ความสำคัญ: เป็นตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญที่สุด
  • ผลกระทบ: CPI สูง บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อสูง อาจทำให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุม ส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่า

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index – PMI):

  • คือ: แบบสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิตและบริการ
  • ความสำคัญ: เป็นตัวชี้นำภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
  • ผลกระทบ: ค่า PMI สูงกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจขยายตัว (ดีต่อสกุลเงิน), ต่ำกว่า 50 หมายถึงเศรษฐกิจหดตัว (แย่ต่อสกุลเงิน)

ข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี

  • โอกาสทำกำไรสูงในเวลาอันรวดเร็ว: สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากจากความผันผวนของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ
  • มีทิศทางที่ค่อนข้างชัดเจน: หากข่าวออกมาแตกต่างจากที่คาดการณ์มากๆ มักจะทำให้ราคาวิ่งไปในทิศทางเดียวอย่างรุนแรง
  • มีตารางเวลาที่แน่นอน: เทรดเดอร์สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ว่าจะเทรดในช่วงเวลาใด โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา

ข้อเสีย

  • ความเสี่ยงสูงมาก: ความผันผวนที่รุนแรงอาจทำให้ขาดทุนอย่างหนักและรวดเร็วได้เช่นกันหากคาดการณ์ผิดทาง
  • Spread ถ่าง (Widening Spreads): ในช่วงข่าวออก โบรกเกอร์มักจะขยายค่า Spread (ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ-ขาย) ให้กว้างขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนการเทรดสูงขึ้นและทำกำไรได้ยากขึ้น
  • Slippage (การคลาดเคลื่อนของราคา): เนื่องจากความผันผวนสูงและปริมาณคำสั่งซื้อขายมหาศาล คำสั่งเทรดของคุณอาจถูกจับคู่ในราคาที่แตกต่างไปจากราคาที่คุณกดสั่งซื้อ ซึ่งอาจทำให้ได้ราคาที่เสียเปรียบ
  • ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์: การเทรดข่าวให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความเข้าใจในปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การวิเคราะห์ และการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีสติ

 

คลิปที่น่าสนใจ

เรื่อง โบรกเกอร์ Forex เทรดชนข่าวได้ดีที่สุด ในปี 2025: thai brokerforex

  • [00:58] – คุณสมบัติของโบรกเกอร์ที่เหมาะกับการเทรดข่าว:
  • [01:04] ไม่เกิด Requote และมี Slippage ต่ำ (ราคาไม่คลาดเคลื่อนจากที่กดสั่งซื้อมากนัก)
  • [01:21] Spread ไม่ถ่างมาก หรือมีความเสถียรในช่วงข่าวออก
  • [01:39] มีบัญชีประเภท ECN หรือ Raw Spread ให้บริการ
  • [01:50] มีผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Provider) ที่มีคุณภาพสูง
  • [02:09] – เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินและทดสอบโบรกเกอร์:
  • [02:15] ความเร็วในการเปิดออเดอร์ (ก่อนข่าวออก)
  • [02:24] ความเร็วในการเปิดออเดอร์ (ระหว่างข่าวออก)
  • [02:32] ค่า Spread (ก่อนข่าวออก)
  • [02:44] การถ่างของ Spread สูงสุด (หลังข่าวออก)
  • [02:55] ระยะเวลาที่ Spread กลับมาเป็นปกติ
  • [04:01] – การประกาศผล 5 อันดับโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดสำหรับการเทรดข่าว:
  • [05:16] อันดับ 5: FBS 
  • [06:40] อันดับ 4: Exness 
  • [07:25] อันดับ 3: Eightcap
  • [08:10] อันดับ 2: Vantage
  • [08:49] อันดับ 1: VT Markets

สรุป

การเทรดข่าวมีความสำคัญในการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดเพื่อทำกำไรระยะสั้น โดยอาศัยหลักการเปรียบเทียบ ตัวเลขจริง (Actual) กับ ตัวเลขคาดการณ์ (Forecast) จากการประกาศข่าวเศรษฐกิจ หากผลลัพธ์ดีกว่าที่คาด สกุลเงินมักแข็งค่าขึ้น และหากแย่กว่าคาดก็จะอ่อนค่าลง เทรดเดอร์จึงใช้จังหวะนี้เข้าเทรดตามทิศทางราคาที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงสูงจาก Spread ที่กว้างและ Slippage จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รัดกุม

อ้างอิง

FAQ — การเทรดข่าว (การเทรดโดยอาศัยข่าว) คืออะไร? มีหลักการอย่างไร?

 

ปรากฏการณ์นี้มักเกิดจากหลัก “Buy the Rumor, Sell the Fact” ค่ะ นักลงทุนรายใหญ่มักเข้าซื้อไปก่อนแล้วตาม “ข่าวลือ” และเมื่อข่าวดีประกาศออกมาจริง พวกเขาก็จะเทขายเพื่อทำกำไร ทำให้ราคาสวนทางกลับลงมาแม้ข่าวจะดีก็ตาม
ควรเทรด หลัง ข่าวประกาศจะปลอดภัยกว่ามากค่ะ ควรรอให้ความผันผวนช่วงแรกสงบลงประมาณ 1-5 นาที เพื่อให้เห็นทิศทางของตลาดที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจเข้าเทรด การเข้าเทรดก่อนข่าวออกมีความเสี่ยงสูงมากและไม่เหมาะกับมือใหม่
ข่าวจาก สหรัฐอเมริกา ค่ะ เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด และคู่เงินหลักส่วนใหญ่ก็ผูกติดกับ USD ทำให้ข่าวของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและรุนแรงที่สุดในตลาด
Slippage (ราคาคลาดเคลื่อน) และ Spread ที่ถ่าง ค่ะ Slippage อาจทำให้คุณได้ราคาที่แย่กว่าที่กดสั่งไปมาก ส่วน Spread ที่กว้างจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถเปลี่ยนกำไรของคุณให้กลายเป็นขาดทุนได้ในพริบตา
ไม่จำเป็นเลยค่ะ การเทรดข่าวเป็นการเทรดตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า คุณสามารถตรวจสอบ ปฏิทินเศรษฐกิจ เพื่อวางแผนและเตรียมตัวเทรดเฉพาะช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญๆ เท่านั้นได้เลย ทำให้มีความยืดหยุ่นด้านเวลาค่อนข้างสูง

 

เขียนโดย

Pakornkiat Poonsuk

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chatchawal Nakcharoen