บทคัดย่อ
- ค่าสเปรด (Spread): คือค่าธรรมเนียม ที่ถูกกำหนดโดยราคาซื้อและราคาขาย หรือเส้น Bid และ เส้น Ask เป็นต้นทุนอย่างหนึ่งในการเทรด
- ประเภทของค่าสเปรด: มีด้วยกัน 2 ประเภทคือ แบบคงที่ และ แบบแปรผันหรือลอยตัว ขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีที่เลือกใช้
- เลือกบัญชีให้เหมาะสม: ยิ่งเทรดสั้น เข้าออกบ่อยเท่าไร ยิ่งมีต้นทุนที่เป็นค่าสเปรดมากเท่านั้น เลือกบัญชีให้เหมาะสม จะช่วยลดต้นทุน กำไรเหลือเพิ่ม
ค่าสเปรด (Spread) คืออะไร
ค่าสเปรด (Spread) คือ ช่องว่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย ที่กำหนดด้วยเส้น 2 เส้นคือ Bid (ราคาขาย) และราคา Ask (ราคาซื้อ) เป็นค่าบริการ หรือค่าธรรมเนียม ที่ทางโบรกเกอร์เก็บจากผู้เทรด
ภาพแสดงถึง เส้น Bid และเส้น Ask ที่แสดงช่องว่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย นั่นคือค่าสเปรด
โบรกเกอร์ผู้ให้บริการในการซื้อขาย แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ คือใช้สกุลเงินหนึ่ง ไปซื้ออีกสกุลเงิน ซึ่งราคาซื้อและราคาขายที่แตกต่างกัน จะมีช่องว่างของราคาเกิดขึ้น จึงเกิดเป็นส่วนต่างของราคา นั่นคือค่าบริการของทางโบรกเกอร์
ภาพแสดงตัวอย่าง ระหว่างราคาซื้อและราคาขายในร้านทอง ซึ่งเกิดช่องว่างของราคา นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายหรือค่าบริการ หรือรายได้ของผู้ให้บริการเรียกรับ คือส่วนต่างของราคาซื้อราคาขาย
คล้ายกับ เทรดเดอร์ซื้อทองคำแท่งหนัก 1 บาท โดยประมาณ 40,000 เมื่อเดินออกจากร้านทอง นึกขึ้นได้ว่า มีความจำเป็นต้องใช้เงิน จึงเดินนำทองนั้น กลับไปขายได้ในราคา 39,000 และส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขายนั่นเอง เป็นค่าบริการของทางร้านทอง
ทำไมจะต้องมีค่าเสปรด
โบรกเกอร์ เป็นบริษัทเอกชนจะต้องมีรายได้หรือผลกำไร ถ้าเป็นโบรกเกอร์ที่โปร่งใส จะมีรายได้จากการเก็บค่ารรมเนียมเท่านั้น โบรกเกอร์ที่ค่าสเปรดต่ำ บัญชีซีโร่ หรือเก็บค่าธรรมเนียมเป็นค่าคอมมิชชั่น ก็นับว่าใช้ได้
แต่ถ้าโบรกเกอร์ใดที่ ไม่เก็บค่าธรรมใด ๆ เลย โปรดจงระวังไว้ให้ดี นั่นอาจจะเป็นโบรกเกอร์เกอร์ ที่หากินกับความเสี่ยง หรือข้อผิดพลาด หรือแต่งกราฟ หาข้อผิดพลาดให้คุณอยู่
ดังนั้น การพิจารณาโปรโมชั่น ค่าธรรมเนียม ของทางโบรกเกอร์โดยละเอียด เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณ ได้โบรกเกอร์ที่ดี และไว้ใจได้ เพราะการเสียค่าสเปรดเป็นค่าธรรมเนียม เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
เส้นคือ Bid (ราคาขาย) และราคา Ask (ราคาซื้อ)
สองเส้นที่วิ่งคู่กับราคานั่นก็คือ เส้นคือ Bid (ราคาขาย) และราคา Ask (ราคาซื้อ) คือตัวกำหนดราคาซื้อขายในขณะนั้น
ภาพแสดงตัวอย่างของการเปิดออเดอร์ ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเปิดออเดอร์ Buy จะได้ราคาที่เส้น Ask และถ้าเปิดออเดอร์ Sell จะได้ราคาที่เส้น Bid และออเดอร์จะติดลบทันที จนกว่ากราฟจะวิ่งไปยังทิศทางที่ถูกต้องแล้วเส้น Bid หรือ Ask เคลื่อนไปทับหรือเลยราคาเข้าออเดอร์ จึงจะเริ่มเป็นบวก
ถ้าออกคำสั่ง Buy จะได้ราคาที่เส้น Ask คือเส้นด้านบน แต่ถ้าออกคำสั่ง Sell จะได้ราคา Bid เส้นด้านล่าง ช่องว่างระหว่างเส้น คือค่าสเปรด หรือค่าธรรมเนียม ในฝั่ง Buy จะต้องรอให้เส้นด้านล่างขึ้นไปเหนือราคา Buy จึงจะบวก และในฝั่ง Sell จะต้องรอให้เส้นด้านบนลงมาใต้เส้นหรือจุดเข้า จึงจะบวกเช่นกัน
ในช่วงเวลาที่มีข่าวรุนแรง หรือมีความผันผวนสูง บางโบรกเกอร์ จะมีการถ่างเส้น Bid และเส้น Ask เสมือนค่าสเปรดที่เพิ่มขึ้น ตามความผันผวนและช่วงเวลานั่นเอง
ประเภทของค่าสเปรดในตลาด Forex
ค่าสเปรดมีการแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ค่าสเปรดแบบคงที่ และค่าสเปรดแบบแปรผัน
ภาพแสดงประเภทของค่าสเปรดในตลาด Forex และข้อแตกต่างในแต่ละประเภท
1. ค่าสเปรดแบบคงที่
ค่าสเปรดแบบคงที่ คือค่าสเปรดที่ถูกกำหนดโดยโบรกเกอร์ โดยไม่คำนึงถึงความผันผวนในตลาด แม้จะเกิดความผันผวนมากแค่ไหน ค่าสเปรดจะยังเรียกเกิดอยู่เท่าเติม ซึ่งจะพบบัญชีในลักษณะนี้ได้น้อยมาก ๆ และเป็นที่ต้องการสำหรับเทรดเดอร์สายสั้น ๆ หรือใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ เพราะเสมือนมีต้นทุนที่ชัดเจนในการเข้าออกแต่ละครั้ง
ข้อดีของค่าสเปรดแบบคงที่
- สู้ผันผวน: ไม่ว่าจะมีความผันผวนแค่ไหน ก็มีค่าสเปรดเท่าเดิม ไม่ถ่างมากจนเกินกำหนดในช่วงเวลาที่ข่าวออก สามารถใช้เทรดข่าวได้ดี
- ความเคลื่อนของราคา: บัญชีประเภทค่าสเปรดแปรผัน อาจจะมีความคลาดเคลื่อนของราคา ในช่วงที่ตลาดผันผวน
ข้อเสียของบัญชีค่าสเปรดคงที่
- ค่าสเปรด: ค่อนข้างสูงกว่าปกติ เพราะโบรกเกอร์ได้คำนวนบวกเพิ่ม เพื่อรวมความเสี่ยงไว้ทั้งหมดแล้ว
- บัญชี: ส่วนใหญ่จะพบได้ในบัญชี Cen บัญชี ไมโคร และค่อนข้างที่จะหายาก สำหรับโบรกเกอร์ที่ให้บริการค่าสเปรดคงที่
2. ค่าสเปรดแบบแปรผัน
ค่าสเปรดแบบแปรผัน จะไม่ได้กำหนดตายตัว แต่จะมีราคาขั้นต่ำ และอาจจะพุ่งขึ้นสูงได้ในช่วงเวลาที่มีความผันผวน เช่น ช่วงเวลาในการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ นับว่าเป็นบัญชีที่ไม่เหมาะกับการเทรดข่าว หรือในช่วงผันผวนสูง
ข้อดีของค่าสเปรดแบบแปรผัน
- ค่าสเปรดต่ำ: ในสภาวะที่ตลาดไม่ผันผวน ค่าสเปรดจะต่ำมาก ๆ สำหรับสกุลเงินหลัก
- บัญชี: มีในทุก ๆ โบรกเกอร์ สามารถเลือกใช้ใช้ได้ตามปกติ
ข้อเสียของค่าสเปรดแบบแปรผัน
- ตลาดผันผวน: จะมีค่าสเปรดที่ค่อนข้างสูง แต่ไม่เกินที่โบรกเกอร์กำหนด บางโบรกเกอร์อาจจะมีการผ่างค่าสเปรด
- คลาดเคลื่อน: ในช่วงเวลาที่มีความผันผวน อาจจะมีการคลาดเคลื่อนของราคาในการเข้าเทรด นับว่าเสียโอกาสที่จะทำให้ได้ราคาดีตามที่กำหนด ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงผันผวนสูง
การเลือกบัญชีที่เหมาะกับกลยุทธ์ในการเทรด จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเทรดเดอร์ถือยาวสิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเทรดสั้น เข้าไวออกไว จะต้องคิดและใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ให้มาก ๆ เพราะทุกครั้งที่เข้าออเดอร์ จะมีค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นต้นทุนนั่นก็คือ “ค่าสเปรด”
ต้นทุนหลักในการเทรด Forex
ภาพแสดงต้นทุนหลักในการเทรด Forex ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ทุกครั้งที่เทรดมีต้นทุนที่แฝงอยู่ สักเกตุได้จากจากการเปิดออเดอร์ จะติดลบทันที
ค่าสเปรด (Spread) นับว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง ที่เทรดเดอร์จะต้องแบกรับ ยิ่งใช้โบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดสูง ก็จะยิ่งมีต้นทุนที่สูง เช่น
ต้นทุนหลักในการเทรดแต่ละครั้ง
- ค่าธรรมเนียม: ในการเข้าเทรดแต่ละครั้ง คาดหวังผลกำไรที่ 10 pip แต่ค่าสเปรดอยู่ที่ 3 pip แน่นอนว่ากำไรที่ได้มา จะเหลือไม่ถึง 10 pip
- ทุกครั้งที่เข้าเทรด: ยิ่งเทรดสั้นขยันเข้าบ่อย ยิ่งเสียค่าสเปรดบ่อยเท่านั้น
- ติดลบทันที: ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ จะติดลบทันที เพราะนั่นคือต้นทุนที่ต้องจ่าย เป็นค่าสเปรดที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ
วิธีหลีกเลี่ยง
- ระบบหรือสไตล์การเทรด: ถ้าเทรดยาว แต่ค่าสเปรดสูงก็อาจจะไม่ได้เป็นผลมากนัก แต่ถ้าเทรดสั้น ทุกครั้งที่เปิดปิดออเดอร์ ก็จะมีค่าธรรมเนียมเกิดขึ้นในทุก ๆ ครั้ง เปิดออเดอร์ปุ๊บ ติดบลในทันที
- บัญชีที่เหมาะสม: หรือบัญชีที่ไม่มีค่าสเปรด แต่จะมีค่าคอมมิชชั่น จะเหมาะกว่ากับการเทรดสั้น
คุณ เลือกบัญชีแบบไหน ?
ถ้ามองการเทรด Forex เป็นเพียงแค่การเก็งกำไร ชนะได้กำไร ขาดทุนก็เสีย เพียงเท่านี้คงไม่ดีแน่
แต่ถ้ามองว่าการเทรด Forex เป็นเสมือนหนึ่งธุรกิจ ที่จะต้องลดต้นทุน เพิ่มผลกำไรและเติบโตให้ได้อย่างต่อเนื่อง เรื่องพื้นฐานตั้งแต่เลือกโบรกเกอร์ ประเภทบัญชีที่ใช้เทรด ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
เลือกประเภทบัญชี ตามวิธีการเทรด
ภาพแสดงตัวอย่าง การเลือกบัญชีเทรด ให้เหมาะสมกับสไตล์หรือระบบเทรด เสมือนการเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับตัวเอง เมื่อเลือกได้ถูกต้อง ทุกอย่างก็ลงตัว ไม่เสียค่าธรรมเนียมโดยใช่เหตุ ลดความเสี่ยงจากบัญชีที่ไม่เหมาสม
- เทรดสั้น: บัญชีประเภท ค่าสเปรดต่ำ คงที่ หรือซีโร่ เพราะการเทรดสั้นไม่ว่าจะเทรดมือ หรือใช้ EA ลักษณะคือเข้าบ่อยออกบ่อย ถ้าทุกครั้งที่เข้าออเดอร์ มีค่าสเปรดสูง แม้จะชนะการเทรดมากแค่ไหน กำไรอาจจะไม่เหลืออยู่ดี ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
- เทรดกลาง: บัญชีประเภท ค่าสเปรดคงที่หรือแปรผันได้เช่นเดียวกัน เพราะการเข้าออกออเดอร์อาจจะไม่บ่อยนัก เพียงแค่ต้องระวังในการเข้าออเดอร์ ในช่วงผันผวนกว่าปกติ เพื่อลดความคลาดเคลื่อนของราคา
- เทรดยาว: ยิ่งไม่มีผลกระทบใด ๆ ในการเลือกประเภทของค่าสเปรด เพราะนาน ๆ ครั้งจะทำการเข้าเทรดสักครั้งหนึ่ง
บางประเภทบัญชี มีฟังก์ชั่นในด้านอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา แม้ค่าสเปรดสูงแต่ก็คุ้มค่า ถ้าบัญชีนั้นเหมาะสมกับเทรดเดอร์ เช่น บัญชีค่าสเปรดสูงมาก ๆ แต่แลกมาด้วย การถอนเงินเร็วและไม่จำกัดต่อวัน ส่วนใหญบัญชีประเภทนี้ มืออาชีพจะเลือกใช้ ยอมจ่ายสูง ด้วยเหตุผลบางอย่างที่แก้ปัญหาเฉพาะตัวได้
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณา ตามความเหมาะสมของเทรดเดอร์ มากกว่าใช้ตาม ๆ กัน ที่ใครบอกว่าโบรกเกอร์ หรือประเภทบัญชีนี้ดี แต่ให้จงจำไว้เสมอว่า ค่าสเปรดต่ำ กำไรก็จะเหลือเพิ่ม
เลือกผิด ชีวิตเปลี่ยน
ยิ่งขายดี ยิ่งขาดทุน ถ้าเป็นธุรกิจค้าขาย ขายสินค้าราคาถูกจนไม่เหลือกำไร ก็คงดำเนินธุรกิจไปต่อได้ไม่นาน การเลือกบัญชีที่ไม่เหมาะสมกับการเทรด จะค่อย ๆ ลดผลกำไร เช่น เทรดสั้นมาก ๆ เข้าไวออกไว แต่ทุกครั้งที่เทรดไม่คำถึงต้นทุน หรือค่าสเปรดที่เสียไป จึงเหลือกำไรน้อย ต่อยอดได้ช้า
เทรดกลางหรือยาว ใช้บัญชีซีโร่สเปรด แต่ลืมคิดไปว่ามีค่าใช้จ่ายนั่นก็คือคอมมิชชั่น หรือเทรดข่าว แต่เลือกบัญชีที่มีค่าสเปรดสูง ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนของราคา เกิดความเสียหายบ่อยครั้ง
การเลือกโบรกเกอร์ ที่มีบัญชีที่เหมาะสม จึงไม่อาจมองข้าม และศึกษารายละเอียดให้ดีและใช้ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรด เสมือนเลือกม้าดี ที่เข้าใจงาน จะช่วยให้การทำงานราบรื่นและประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
สรุป
ต้นทุนหลักในการเทรดนั่นคือ ค่าสเปรด (Spread) ที่จะต้องมีวิธีจัดการให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกประเภทบัญชี หรือวิธีจัดการด้วยการตั้งเป้าราคาที่เหมาะสม ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดทั้งมวล คือต้นทุนที่เทรดเดอร์หรือนักลงทุนอย่างเรา ๆ จะต้องจ่าย