Volume Profile คืออะไร?
- Volume Profile คือ Indicator ที่แสดงปริมาณการซื้อขาย (Volume) ในแนวนอน แทนที่จะเป็นแนวตั้งแบบ Volume ทั่วไป
- เป็นเครื่องมือที่ช่วยบอกว่าบริเวณใดมีปริมาณการซื้อขายเท่าไร และบริเวณไหนมีการซื้อขายสูงสุด
- ช่วยให้เรามองเห็น “พฤติกรรมตลาด” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา
ทำไม Volume Profile ถึงสำคัญมาก?
- เปิดเผย จุดที่สถาบันการเงินใหญ่ ๆ เข้ามาทำการซื้อขายจำนวนมาก
- ช่วยระบุแนวรับแนวต้านที่มี นัยยะสำคัญ มากกว่าการใช้เส้นเทรนด์ทั่วไป
- แสดงให้เห็นถึงการ สะสมกำลัง ของรายใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในตลาด
- ช่วยให้เรา ระบุทิศทางตลาด ได้แม่นยำขึ้นจากรูปแบบการกระจายตัวของ Volume
จุดสำคัญใน Volume Profile ที่ต้องรู้
1. Point of Control (POC) – จุดสำคัญที่สุด
- คือ บริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด
- เป็นจุดที่มีแรงปะทะระหว่าง Buyer และ Seller สูงที่สุด
- มักเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งมาก และราคามักจะกลับมาทดสอบบริเวณนี้ซ้ำ
- เมื่อราคากลับมาที่ POC อีกครั้ง คือการกลับมา “Take Liquidity” หรือเติมเต็มคำสั่งซื้อขายที่ยังรอการจับคู่
2. High Volume Node (HVN) / Profile High
- โซนที่มีปริมาณซื้อขายสูง (รองจาก POC)
- เป็นจุดที่ราคามักจะ “หยุดพัก” หรือกลับตัว
- มีความสำคัญเป็นแนวรับแนวต้านรอง
3. Low Volume Node (LVN) / Profile Low
- บริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย
- ราคามักจะ “ผ่าน” บริเวณนี้ได้อย่างรวดเร็ว
- เป็นช่องว่างที่ราคาสามารถวิ่งผ่านได้ง่าย
ตัวย่างรูปแบบ Profile ที่ซ่อนความลับของตลาด
1. D-Profile – ตลาดที่สมดุล
แสดงกราฟ Volume Profile แบบ D-shaped บนกรอบเวลา 30 นาที เป็นระยะเวลา 1 วัน
- มีกลุ่มปริมาณการซื้อขาย (Volume Cluster) “คือโซนราคาที่มีการซื้อขายหนาแน่น บ่งบอกว่าเป็นพื้นที่สะสมสถานะของผู้เล่นรายใหญ่”
- มีจุด POC (Point of Control) หรือจุดที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดอยู่ด้านล่างของกราฟ
- เมื่อราคากลับมาทดสอบบริเวณ POC ในภายหลัง เกิดโอกาสในการเข้า Short (ขาย)
- ลูกศรสีน้ำเงินชี้ลงแสดงตำแหน่งที่มีการส่งสัญญาณขาย หลังจากราคาทดสอบบริเวณ POC
- รูปแบบ D-shaped นี้เป็นรูปแบบเฉพาะที่สามารถใช้ระบุโอกาสในการเทรดได้
- แสดงให้เห็นว่า Volume Profile สามารถช่วยในการระบุจุดเข้า-ออกตลาดที่มีโอกาสสำเร็จสูง
2. P-Profile – แรงซื้อมาก
ภาพนี้แสดงกราฟ Volume Profile แบบ P-shaped บนกรอบเวลา 30 นาที เป็นเวลา 1 วัน ซึ่งแสดงถึงกลยุทธ์การเทรด โดยมีรายละเอียดดังนี้
- มีรูปแบบ Volume Profile เป็นลักษณะคล้ายตัว P ซึ่งบ่งบอกถึงแรงซื้อที่มาก
- มี Volume Cluster (กลุ่มปริมาณการซื้อขายสูง) ซึ่งอยู่ในระดับราคาต่ำ (วงกลมสีน้ำเงิน)
- มีการระบุว่า “กลุ่มปริมาณการซื้อขายสูง ซึ่งอยู่ในระดับราคาต่ำ” แสดงถึงแรงซื้อที่หนาแน่นในระดับราคาถูก
- ด้านขวาของกราฟมีลูกศรสีน้ำเงินชี้ขึ้น พร้อมคำว่า “long” ซึ่งแสดงสัญญาณการเข้าซื้อ
- มีข้อความระบุว่า “ตำแหน่งที่มีการส่งสัญญาณซื้อ เมื่อราคากลับมาทดสอบบริเวณ Volume Cluster อีกครั้ง”
โดยรวมจากภาพนี้แสดงกลยุทธ์การเทรดโดยใช้ Volume Profile แบบ P-shaped ซึ่งเมื่อราคากลับมาทดสอบบริเวณ Volume Cluster ที่อยู่ในระดับราคาต่ำอีกครั้ง จะเป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ (long) เนื่องจากมีแรงซื้อสะสมอยู่มากในบริเวณนั้น
3. b-Profile – แรงขายเยอะ
กราฟ Volume Profile แบบ b-shaped บนกรอบเวลา 30 นาที ในช่วงเวลา 1 วัน ที่แสดงโอกาสในการ Short โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้:
- รูปแบบ Volume Profile เป็นลักษณะคล้ายตัว b ซึ่งบ่งบอกถึงแรงขายที่มาก
- มี Volume Cluster (กลุ่มปริมาณการซื้อขายสูง) อยู่ในบริเวณด้านบนของกราฟ (วงกลมสีน้ำเงิน)
- มีข้อความระบุว่า “บริเวณที่มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นสูง ในทิศทางของแท่ง Volume Profile” ซึ่งแสดงถึงแรงขายที่มีความหนาแน่นมาก
- ด้านขวาของกราฟมีลูกศรสีน้ำเงินชี้ลง พร้อมคำว่า “short” ซึ่งแสดงสัญญาณการเข้าขาย
- มีข้อความระบุว่า “ตำแหน่งที่มีสัญญาณขาย เมื่อราคากลับมาทดสอบบริเวณ Volume Cluster อีกครั้ง”
ภาพนี้ต้องการบอกว่า เมื่อพบรูปแบบ Volume Profile แบบ b-shaped ที่มี Volume Cluster อยู่ด้านบน จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแรงขายที่มาก และเมื่อราคากลับมาทดสอบบริเวณ Volume Cluster อีกครั้ง จะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้า Short (ขาย) เพราะมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวลง
วิธีการใช้ Volume Profile ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การตั้งค่า Volume Profile
- Range period: ช่วงเวลาที่ต้องการคำนวณ
- Range count: ขอบเขตการแสดงผล
- Timeshift: ค่าความเลื่อนของ indicator
- Mode step: เลือกการแสดงผลแบบ Point
- Point scale: ตัวคูณในการคำนวณ
- Volume type: เลือก Tick volume หรือ Real volume
- Data source: กำหนดแหล่งข้อมูล
- Bar style: รูปแบบแท่ง indicator
- Draw direction: ทิศทางการแสดงผล
- Color 1/2: สีของแท่ง volume
- Line width: ความหนาของเส้น
วิธีที่ 1: การลาก Fixed Range ที่ถูกต้อง
- ลากเพื่อหา Demand Supply ที่มีนัยยะสำคัญ
- ระบุเทรนด์ให้ชัดเจนก่อน (ขาขึ้น/ขาลง)
- หา Swing High และ Swing Low ล่าสุด
- ลาก Fixed Range จาก Swing Low ไปหา Swing High
- เคล็ดลับมองทะลุ: หากบริเวณ Base ของ Demand/Supply มีเส้น POC อยู่ด้วย = โซนนั้นมีความสำคัญสูงมาก
วิธีที่ 2: ลากเพื่อหาแนวรับแนวต้านในอดีต
- ลากจาก Swing Low ไปหา Swing High (มองภาพรวมกว้าง ๆ)
- มองหาจุด POC ที่ตรงกับแนวรับแนวต้านเดิม
- ยิ่งมีปัจจัยทับซ้อน (Confluence) มาก ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเทรดสำเร็จ
สิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่คุณจะเห็น
- ร่องรอยของรายใหญ่: POC คือจุดที่สถาบันการเงิน “สะสมกำลัง” และพร้อมป้องกันราคาเมื่อกลับมาที่จุดเดิม
- Unfilled Orders ที่รอคอย: จุดที่มี Volume สูงเต็มไปด้วยคำสั่งรอจับคู่ เมื่อราคากลับมา มักเกิดการกลับตัวรุนแรง
- Order Block ที่ซ่อนอยู่: POC เป็นจุดที่รายใหญ่วางออเดอร์ไว้มาก เมื่อราคากลับมา จะเกิดการเคลื่อนไหวฉับพลัน
- แนวรับแนวต้านจริง: ไม่ใช่แค่เส้นบนกราฟ แต่เป็นจุดที่มีปริมาณการซื้อขายจริงรองรับ ทำให้การกลับตัวแม่นยำกว่า
- กลยุทธ์ Smart Money: สังเกตจาก Volume ไม่สมมาตร – ซื้อช่วง Dump ขายช่วง Pump โดยไม่เคลื่อนไหวพร้อมฝูงชน
- Liquidity Pool ที่มองไม่เห็น: จุดที่มี Volume สูงแต่ราคาผ่านเร็ว คือแหล่งสภาพคล่องใหญ่ที่ถูกดูดซับ และพร้อมถูกดูดซับอีกเมื่อราคากลับมา
- จุดเปลี่ยนเทรนด์แท้: บริเวณ Volume สูงผิดปกติ คือจุดเปลี่ยนมือของเงินทุนระหว่างกลุ่มนักลงทุน บ่งบอกการเปลี่ยนเทรนด์
- คาดการณ์อนาคต: ราคาหนี POC ด้วย Volume น้อย = มักกลับมาที่ POC / ราคาหนี POC ด้วย Volume สูง = มักไปต่อในทิศทางนั้น
- เส้นทางของราคา: LVN คือ “ทางด่วน” ที่ราคาวิ่งผ่านเร็ว / HVN คือ “ด่านเก็บเงิน” ที่ราคามักหยุด ช่วยคาดการณ์ทิศทางได้
- จับจังหวะเทรด: Volume สูง+ราคานิ่ง = กำลังสะสมพลัง / Volume น้อย+ราคาวิ่งแรง = ใกล้หมดแรง
- สัญญาณไม่สมดุล: Volume Profile ผิดปกติ บ่งชี้ตลาดไม่สมดุล ราคาอาจเคลื่อนไหวรุนแรงเพื่อหาจุดสมดุลใหม่
- กับดักรายย่อย: จุดที่มี Volume สูงแต่ราคาไม่กลับตัวตามคาด คือกับดักที่รายใหญ่วางไว้ให้รายย่อยเข้าผิดทิศ
สิ่งสำคัญในการใช้ Volume Profile คือ การฝึกฝนสังเกตรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของราคา จะทำให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้าม และใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ในการเทรดให้ประสบความสำเร็จได้ค่ะ
สรุป
- Volume Profile เผยให้เห็นแนวรับแนวต้านที่มีปริมาณการซื้อขายจริงรองรับ ช่วยให้ระบุจุดที่รายใหญ่สนใจและมีแนวโน้มจะกลับมาทำธุรกรรมอีกครั้ง
- จุดสำคัญอย่าง POC, HVN และรูปแบบต่างๆ ช่วยเปิดเผยพฤติกรรมตลาดที่ซ่อนอยู่ ทำให้คาดการณ์ทิศทางราคาได้แม่นยำขึ้น
- Risk Management ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ – แพ้อย่างไรให้ได้กำไรระยะยาว เพราะสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้คือการบริหารความเสี่ยง
FAQ — Volume Profile ใช้ยังไง? ให้เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
เพราะตลาดไม่ได้ลืมอดีตง่าย ๆ โดยเฉพาะรายใหญ่ที่วางคำสั่งไว้หลายล้าน พวกเขาทำให้เกิดภาพจำจากคนจำนวนมาก ว่าแนวราคานี้ต้องมีบางอย่าง ทำให้มีคนให้ความสนใจ จนเชื่อว่าจะกลับมาเล่นที่บริเวณนั้นอีก Volume เลยเหมือน “ร่องรอย” ราคาที่มี Volume หนาแน่น คือ บริเวณที่มีการตัดสินใจระดับใหญ่
ดังนั้น ถึงแม้ Volume เป็นข้อมูลในอดีต แต่เป็น “อดีตที่ยังมีผลในอนาคต” เพราะออเดอร์ยังไม่หมด
- Volume Profile = สภาพคล่อง “ที่เกิดขึ้นแล้ว” (ใช้ดูพฤติกรรมสะสมระยะยาว)
- Order Book = สภาพคล่อง “ที่เปิดเผยตอนนี้” (ข้อมูลสด แต่วิ่งเร็วมาก)
Volume Profile เหมาะกับเทรดเดอร์ที่อยากเห็น “ร่องรอย” ของรายใหญ่
Order Book เหมาะกับเทรดเดอร์สาย Scalping หรือดูร่องรอยในเวลาสั้น ๆ
มือใหม่ควรเริ่มจาก Volume Profile เพราะเข้าใจพฤติกรรมตลาดก่อนจะไปดู Order Flow ลึก ๆ
- LVN (Low Volume Node) = ทางด่วนของราคา
- ถ้าราคาเข้าเขตที่ไม่มี Volume รองรับมาก = วิ่งเร็วและแรง
- อีกสัญญาณคือ Volume น้อย + ราคานิ่ง = การสะสมพลัง
- รอแค่ข่าวหรือ Volume ดัน ทำให้ราคาอาจพุ่งแรงมากได้เลย
- แนะนำดู P-shape/B-shape ที่แคบและค่อย ๆ สะสม มักเป็นจุดเริ่มต้นของการ Breakout
เทรดสั้นๆ: ใช้ TF 15-30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง
Swing Trade: ใช้ TF 1 วัน หรือ 4 ชั่วโมง
นักลงทุน: ดู Profile หลายเดือน (Weekly/Monthly Composite)
หลักการคือ “ยิ่งกรอบเวลากว้าง = Volume Profile ยิ่งแม่นยำ” แต่การเข้าเทรดให้แม่น ต้อง Zoom in มาดู timeframe ที่เล็กลงด้วย