บทคัดย่อ
- คู่มือ เทรด Forex: สรุปทุกเรื่องเข้าใจง่าย สามารถทำตามได้ทันที ใช้ได้ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ
- วิธีจัดการความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ: กฎ 1% ไม่มีวันล้างพอร์ต และเติบโตแบบกำไรทบต้น
- พฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดี: วิธีแก้ง่าย ๆ ด้วยการตั้งเป้าหมาย มีแผนการเทรด รักษาวินัย และเขียนทุกอย่าง
คู่มือ เทรด Forex สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ
เทรดเดอร์มืออาชีพ หรือผู้ที่เทรด Forex อยู่แล้วเป็นประจำ อาจจะจำเป็นที่จะต้องมีคู่มือสักเล่มหนึ่ง เสมือนเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่เมื่อไหร่ก็ตามรู้สึกว่าเคว้งคว้าง หลงทาง ไม่รู้จะพัฒนาต่อไปอย่างไร สามารถกลับมาทบทวนใหม่ได้ในทุกครั้ง
โดยเนื้อหาหลักจะประกอบไปด้วยความคลาสสิค แม้เวลาจะผ่านไปกี่ยุค ก็จะสามารถนำความรู้ในที่นี้ กลับไปปรับใช้ได้
เพื่อความสุข สำเร็จ หรือสิ่งที่ต้องการจากการเทรด Forex ทั้งวันนี้และวันหน้า สมดั่งใจหวังทุกประการและยั่งยืน
ความเป็นมืออาชีพ กับการเทรด Forex
การเทรด Forex ให้เป็นมืออาชีพ ใช่เพียงว่า ลาออกจากงานประจำ เทรดเพื่อหาเงินใช้ หรือเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่ความเป็นมืออาชีพคือ สามารถอยู่กับมันได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
- ในวันที่ตลาดไม่เป็นใจ: ผิดพลาด ท้อแท้ สิ้นหวัง ยังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วลุกกลับมาสู้ใหม่
- ได้กำไรมหาศาล: ยังคงทำเหมือนเดิม ไม่หลงระเริงกับกำไรที่ได้มา
- รู้สึกไร้หนทาง: ยังคงเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาเรื่อยไป
ความเป็นมืออาชีพ ไม่ได้วัดกันที่เทรด Forex เป็นอาชีพหลัก แต่วัดกันที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แก้ ผิดหวัง ล้มเหลว จะยังคงเทรดต่อไป
สิ่งที่ต้องรู้ หาอยากเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ
ภาพแสดงถึง การที่จะเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพได้นั้น จะต้องมีพื้นฐานที่แน่น เทคนิคที่เหมาะสม และเหนื่ออื่นใด คือความสม่ำเสมอ
กว่าจะเป็นมืออาชีพ หรือเทรดเป็นอาชีพได้ จะต้องเริ่มจากพื้นฐาน และทุกเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ จะพูดถึงในหัวข้อต่อไปนี้
- ตลาด Forex
- โบรกเกอร์
- Bid, Ask และค่าสเปรด
- Pips, points และ ticks
- Lot, contract size และ leverage
- Margin, margin call และ Stop out
- Swap และ roll over
- กลยุทธ์ในการวิเคราะห์
สิ่งที่จะทำให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นมืออาชีพ หรือความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex ในระดับที่สูงขึ้นเช่นกัน
- การบริหารจัดการความเสี่ยง
- การกระจายความเสียง
- วิธีคำนวนความเสี่ยง
- ความเชื่อผิด ๆ
- พฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดีต่อการเทรด
พื้นฐานสำหรับผู้เริ่มต้น
1. ตลาด Forex คืออะไร
ภาพแสดงภาพรวม และการทำงานในตลาด Forex สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องรู้ เช่น ตลาด โบรกเกอร์ และหน้าที่ของตนเอง
ตลาด Forex หรือ Foreign Exchange บางคนเรียก FX คือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ตลาด Forex ถูกใช้ป้องกันความเสี่ยงในการแลกเปลี่ยนเงินตรา ในอดีตเสมือนเป็นเกมคนรวย เพราะผู้ที่จะทำการซื้อขาย 1 Lot จะต้องใช้เงินสูงถึง 100,000 USD
ปัจจุบัน มีโบรกเกอร์ออนไลน์ให้บริการหลากหลาย สามารถเทรดได้ด้วยทุนเพียงเล็กน้อย ผ่านโบรกเกอร์ โดยการนำเลเวอเรจมาใช้ ทำให้สามารถใช้ทุนก้อนเล็ก เทรดในสัญญาที่มีขนาดใหญ่ได้
ตลาด Forex สามารถเทรดเป็นอาชีพได้ โดยมีเงื่อนไขบางอย่าง และสิ่งที่มือใหม่ต้องรู้ ดังต่อไปนี้
หลักในการทำกำไร ตลาด Forex
ตลาด Forex คือนำสกุลเงินหนึ่ง ไปซื้ออีกสกุลหนึ่ง ไม่ได้เป็นการซื้อขายเพื่อนำมาสกุลเงินมาถือไว้จริง ๆ แต่เป็นการเทรด หรือซื้อขายสัญญาว่า ซื้อแล้วต้องขาย หรือขายแล้วจะต้องซื้อในเวลาต่อมา
หลักการคือ ซื้อถูกขายแพง ซื้อเมื่อราคาถูกและขายเมื่อราคาแพง ส่วนต่างของการซื้อขาย คือกำไรหรือขาดทุน
ตลาด Forex สามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ทาง คำสั่งซื้อคือ Buy และคำสั่งขาย คือ Sell สามารถใช้กลยุทธ์ได้หลากหลาย
- Mindset ที่ถูกต้อง: เริ่มจากเป้าหมายที่ถูกต้อง จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตในการเทรด ถ้าต้องการเข้ามาในตลาดหวังรวยอย่างรวดเร็ว โอกาสที่จะหมดตัวอย่างรวดเร็วก็มีเช่นกัน เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ จะมีเป้าหมายคือ อยู่ในตลาดได้ในระยะยาว ความคิด การวิเคราะห์ และวิธีเทรด ก็จะเป็นไปเพื่ออยู่ในตลาดให้ได้ในระยะยาวเช่นกัน
- เวลาในการเทรด: ตลาด Forex เทรดได้ 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ แต่ไม่จำเป็นต้องเทรดตลอด 24 ชั่วโมงก็ได้ เพียงเลือกเทรดในเวลาที่เทรดเดอร์สะดวก หรือเห็นถึงความเหมาะสมของแต่ละคู่เงิน มีความเป็นไปได้ในการที่จะเอาชนะตลาด
- ผู้เล่นหลักในตลาด Forex: ปัจจุบัน สถาบันการเงิน บรรษัทข้ามชาติ กองทุน Hedge Fund เป็นผู้เล่นหลัก เทรดเดอร์รายย่อย ไม่อาจที่จะขับเคลื่อนตลาดได้ แต่สามารถเทรดให้เหมือนรายใหญ่ในตลาด เพื่อโอกาสในการเอาชนะตลาดได้ ดั่งคำที่ว่า “Trend is your friend” (แนวโน้มคือ เพื่อนของคุณ)
2. โบรกเกอร์ Forex คืออะไร มีวิธีการเลือกใช้บริการอย่างไร
โบรกเกอร์ คือ สะพานที่เชื่อมระหว่างเทรดเดอร์รายย่อยกับตลาด ดั่งที่กล่าวไปแล้วในตอนต้น โบรกเกอร์ Forex มีรายได้จากส่วนต่างราคาซื้อและราคาขาย ถือว่าเป็นค่าบริการ นอกจากสกุลเงิน ยังให้บริการสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น ดัชนี ในรูปแบบ CFDs
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เทรดได้ถูกกฎหมายในหลาย ๆ ประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับในบางประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายเสมอไป เพียงแค่ยังไม่มีกฎหมายหรือหน่วยงานใด ๆ รองรับเท่านั้นเอง
ดังนั้น การเทรดผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ เทรดเดอร์จะต้องยอมรับความเสี่ยงเอง เพราะหากเกิดข้อผิดพลาด โบรกเกอร์ล้มหรือหนีหาย จะไม่สามารถเรียกร้อง ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานได้เลย แต่สามารถเลือกโบรกเกอร์ที่ถูกกฎหมาย และไว้ใจได้ ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้
หลักเกณฑ์เบื้องต้น ในการเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ โดยคำนึงถึงการดำเนินงานอย่างถูกต้องในต่างประเทศ หรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- มีการจดจัดตั้ง อย่างถูกต้องชัดเจน และตรวจสอบได้: การดำเนินธุรกิจใด ๆ ไมใช่เพียงแค่มีหน้าเว็บไซต์ ก็จะสามารถทำธุรกิจในบางประเภทได้ โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับการเงิน ในแต่ละประเทศ จะมีกฎหมายควบคุมและดูแล อย่างน้อยโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ จะต้องมีการจดจัดตั้งอย่างถูกต้องในแต่ละประเทศ
- โบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาต: ในหลาย ๆ ประเทศ มีหน่วยงานกำกับดูแลอย่างถูกกฎหมาย โดยโบรกเกอร์ที่เข้าเงื่อนไข จะสามารถขอใบอนุญาตต่าง ๆ ได้ ซึ่งเป็นเครื่องการันตีว่า เป็นโบรกเกอร์ที่ดำเนินงานอย่างถูกต้อง ในหลาย ๆ โบรกเกอร์ขออนุญาตกับหน่วยงานในประเทศต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยใบอนุญาตต่าง ๆ ที่โบรกเกอร์ควรจะมี ดังต่อไปนี้
- FCA (Financial Conduct Authority) ควบคุมโบรกเกอร์ในสหราชอาณาจักร
- CySEC (Cyprus Securities and Exchange Commission) ควบคุมโบรกเกอร์ควบคุมโบรกเกอร์ในสหภาพยุโรป
- ASIC (Australian Securities and Investments Commission) ควบคุมโบรกเกอร์ออสเตรเลีย
- NFA (National Futures Association) ควบคุมโบรกเกอร์สหรัฐอเมริกา
- หน่วยงานในประเทศอื่น ๆ เช่น IFSC เบลีซ, FSA เซเชลส์
- ฝากถอน รวดเร็ว: เงื่อนไขในการฝากถอน หลาย ๆ โบรกเกอร์ถอนเงินได้ทันที แต่ยังมีอีกหลาย ๆ โบรกเกอร์ อาจจะต้องรอภายใน 24 ชั่วโมง หรือ 3- 5 วันทำการ
- ฝากเงินเร็ว: อาจจะจำเป็น เมื่อพอร์ตมีความเสี่ยง ที่อาจจะต้องเติมเงินทุนเข้าไปรองรับความเสี่ยงอย่างเร่งด่วน
- ถอนเงินเร็ว: ไม่มีใครอยากรอเงินนาน ๆ เมื่อเป็นเงินเรา ถอนเราก็ต้องการที่จะได้ยอดเข้ากระเป๋าไว ๆ
- บัญชีในการฝากถอน: จะต้องเป็นบัญชีที่น่าเชื่อถือ หรือมีช่องทางในการฝากถอน ในยุคแรก ๆ การฝากเงินในบางโบรกเกอร์ เป็นการฝากเข้าบัญชีบุคคล แน่นอนว่าทำให้ไม่น่าไว้วางใจ เพราะถ้าเป็นระบบบริษัท ควรมีวิธีในการฝากที่ดีกว่านี้
- ทีมงานช่วยเหลือ หรือสนับสนุน: เวลามีปัญหา หรือต้องการข้อมูลใด ๆ การช่วยเหลือและสนับสนุนของโบรกเกอร์ เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เช่น
- ช่องทางติดต่อ: ในบางโบรกเกอร์ จะต้องติดต่อผ่านเมลอย่างเดียว ปัจจุบันในหลาย ๆ โบรกเกอร์ มี Live Chat หรือติดต่อผ่านโซเชียลต่าง ๆ นับเป็นช่องทางในการติดต่อที่สะดวก
- เวลาติดต่อ: การให้บริการของเจ้าหน้าที่ มีให้ในช่วงเวลาทำการ หรือช่วงที่เทรดเดอร์ต้องการหรือไม่
- ภาษาที่ใช้ติดต่อ: รองรับภาษาที่เทรดเดอร์ใช้หรือไม่ หรือมีเจ้าหน้าที่ซัพพอร์ตให้บริการที่ใช้ภาษาเดียวกัน จะทำให้ง่ายต่อการติดต่อและใช้บริการ
- ความเป็นมืออาชีพ: การติดต่อขอความช่วยเหลือ สังเกตุได้จากการเข้าใจปัญหาหรือไม่เข้าใจปัญหา ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ ที่มีประสบการณ์หรือเคยเทรด หรือมีความเป็นมืออาชีพ จะสามารถเข้าใจปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ปัญหาที่ผู้เขียนเคยเจอคือ ถอนเงินจากโบรกเกอร์หนึ่ง แต่เงินไม่เข้า จึงติดต่อสอบถามเข้าไป ได้คำตอบมาว่า “ผู้ใช้บริการ ใส่หมายเลขบัญชีผิด”
ครั้งแรก ก็อาจจะผิดพลาด แต่เมื่อถอนรอบหลัง ตั้งใจตรวจสอบเลขบัญชีอย่างถูกต้อง และมั่นใจว่าไม่ผิดพลาด ก็ยังเจอปัญหาเดิม สอบถามเข้าไปยังได้คำตอบเดิม จึงทำให้รู้ว่า ทีมงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้จริงใจที่จะยอมรับ หรือแก้ไขในข้อผิดพลาดนั้นจริง ๆ นั่นคือการทำงานแบบ “ไม่เป็นมืออาชีพ”
- ไม่มีข่าวเสียหาย: การดำเนินธุรกิจ การสร้างชื่อเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าโบรกเกอร์ใดที่มีข่าวเสียหายมาก่อน เช่น เคยหอบเงินหนี เปลี่ยนชื่อแบรนด์เพื่อหลบเลี่ยงบางอย่าง หรือแม้กระทั่งการแต่งกราฟ จำเป็นที่จะต้องนำมาพิจารณาใหม่อีกที ถ้าต้องการใช้โบรกเกอร์นั้น
3. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Bid, Ask และค่าสเปรด
ภาพแสดงวิธีดูราคาซื้อ ราคาขาย เส้น 2 เส้นที่โชว์บนกราฟ ช่องว่างที่เกิดขึ้นนับเป็นค่าสเปรด
ราคาซื้อ Bid และราคาขาย Ask คือเส้นสองเส้นที่กำหนดราคาซื้อและราคาขาย ส่วนต่างที่เกิดขึ้นเรียกว่า ค่าสเปรด เป็นค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์
เสมือนราคาทองคำ ที่มีราคารับซื้อ และราคาขายที่แตกต่างกัน โดยส่วนต่างนั้นเป็นกำไร หรือรายได้ของห้างทอง
4. Pips, points และ ticks คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
ภาพแสดงตำแหน่ง Pips และ points และวิธีเรียกหรือการอ่านจากราคา และ ticks เป็นหน่วยที่ใช้เรียกสินค้า CFD ซึ่งแต่ละสินทรัพย์ จะมีการเคลื่อนที่ไม่เหมือนกัน
Pips และ points เป็นหน่วยนับในการเคลื่อนที่ของสกุลเงิน โดย Pips จะอยู่ในตำแหน่งที่ 5 นับจากซ้ายมือ เช่น 1.35002 ไป 1.35025 จะนับเป็น 2.3 Pips ไม่ใช่ 23 Pips ทั้งนี้บางโบรกเกอร์อาจจะแสดงราคาในหน่วยทศนิยมเพียง 4 หน่วยทศนิยม
points เป็นหน่วยที่เล็กกว่า Pips เช่น 1.35002 ไป 1.35025 เท่ากับ 23 points หรือที่หลาย ๆ คนเรียก “จุด”
ticks เป็นหน่วยที่ใช้เรียกสินค้า CFD สำหรับ Forex หน่วยที่ใช้เรียกคือ Pips ต่อการเคลื่อนที่ต่อหน่วย แต่ในส่วนของ CFD จะมีการเคลื่อนที่แตกต่างกัน เช่น ถั่วเหลือง จะเคลื่อนที่ทุก 0.25 เช่น ราคา 500.50 ไป 50.75 เท่ากับ 1 tick
5. Lot, contract size และ leverage
ภาพแสดงเปรียบเทียบ การซื้อขายโดยใช้เลเวอเรจ ทำให้สามารถซื้อขายสัญญาที่มีขนาดใหญ่ได้ ด้วยทุนเพียงเล็กน้อย พร้อมทั้งวิธีคำนวน
หน่วยของคำสั่งซื้อขาย ที่ใช้กับการลงทุนในตลาด Forex คือ Lot แต่ในตลาดอื่น ๆ หรือสถาบันการเงินต่าง ๆ จะใช้คำว่า contract size ซึ่งหมายถึงปริมาณหรือขนาดการซื้อขาย จะแบ่งไปตามประเภทบัญชี ซึ่งแต่ละโบรกเกอร์ อาจจะมีประเภทบัญชีที่แตกต่างกัน แต่โดยหลักจะมีดังต่อไปนี้
- Standard: 1 standard lot = 100,000 units of base currency
- Mini: 1 Mini lot = 10,000 units of base currency
- Micro: 1 Micro lot = 1,000 units of base currency
1 standard lot หมายถึง 100,000 หน่วยสัญญา นั่นหมายถึงถ้าจะเทรด EUR/USD 1 Lot จะต้องใช้เงินสูงถึง 100,000 ยูโร หรือแม้กระทั่งบัญชี Micro ยังจะต้องใช้เงินสูงถึง 1,000 ยูโร ดังนั้นเทรดเดอร์จะไม่สามารถเทรดอะไรได้เลย หากเงินในบัญชียังไม่มากพอ
ตลาด Forex จึงนำ เลเวอเรจ (leverage) เข้ามาใช้ เพื่อขยายขีดความสามารถในการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น โดยใช้ทุนน้อย แต่เทรดได้ในขนาดสัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เช่น 1:100, 1:200, 1:1000, 1:2000 ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์
เช่น เทรดเดอณ์ใช้บัญชี Mini โดยเริ่มต้นจากเงินทุน 100 USD ใช้เลเวอเรจ 1:100 จะสามารถเทรดในบัญชี Mini ได้ถึง 10 lots เลยทีเดียว
วิธีการหาจำนวน Lot ที่สามารถเทรดได้ คือการนำเอา เงินทุนคูณ เลเวอเรจ แล้วหารด้วย ขนาดหน่วยสัญญาของแต่ละประเภทบัญชี
6. Margin, margin call และ Stop out
ทุกครั้งที่การมีส่งคำสั่งซื้อ จะมีเงินส่วนหนึ่งที่ถูกกักเอาไว้เพื่อเป็นหลักประกัน โดยเงินที่กักเอาไว้เรียกว่า Margin เพื่อเป็นหลักกระกันกรณีที่ เทรดเดอร์เทรดติดลบลงมาเรื่อย ๆ เช่น
มีทุนอยู่ 100 USD กราฟเคลื่อนที่ผิดทาง ทำให้เงินทุนลดลง 70, 40, 30 และในจังหวะที่เงินทุนเหลือเพียง 4 USD มีคำสั่งขนาดใหญ่เข้ามาในตลาด ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของราคาอย่างฉับพลัน ทำให้กราฟเคลื่อนที่อย่างรุนแรง ส่งผลให้บัญชีติดลบ 3 USD
แน่นอนว่า โบรกเกอร์จะไม่สามารถเรียกเก็บจำนวนที่ติดลบนี้ได้ อีกทั้งโบรกเกอร์ก็รับราคามาจากที่อื่นเช่นกัน จะต้องควักเนื้อเพื่อจ่ายแทนนักลงทุน จึงมีการกัก Margin ไว้เป็นหลักประกัน
ภาพแสดงถึงเงินทุน เมื่อติดลบและเงินทุนลดลงเรื่อย ๆ จะมี Margin call เป็นการแจ้งเตือน ในระดับต่อมา จะมีการ Stop out เมื่อ Margin เหลือน้อยตามกำหนด เพื่อป้องกันบัญชีติดลบ
- Margin: ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ จะมีการกัก Margin ไว้เป็นหลักประกัน
- Margin call: เงินในบัญชีลดลง เกินกว่า Margin หรือตามที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ เช่น 60% จะมี Margin call หรือแจ้งเตือนให้นักลงทุนเติมเงินเข้าไปเพิ่มให้เพียงพอ หรือปิดออเดอร์
- Stop out: หากเงินในบัญชียังคงลดลง เช่น 10% หรือตามที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ จะเกิด Stop out หมายถึงโบรกเกอร์จะทำการปิดออเดอร์ไปโดยอัตโนมัติ
ทั้งนี้ Margin call และ Stop out ของแต่ละโบรกเกอร์ จะมีการกำหนดที่ไม่เท่ากัน และอีกสิ่งหนึ่งที่ที่นักลงทุนจะต้องรู้คือ กรณีที่เปิดออเดอร์ในหลาย ๆ คู่เงิน หรือมีประมาณเกินกว่า Margin ที่จะถูกกักไว้ จะทำให้ไม่สามารถเปิดออเดอร์เพิ่มเติมได้
สูตรที่ใช้คำนวน Margin (lot X contract size)/leverage ค่าที่ออกมาจะได้เป็นหน่วย base currency เสมอ
7. Swap และ roll over
โดยปกติแล้ว ตลาด Spot จะมีการตัดยอดคำสั่ง ภายในสองวันหลังจากมีการทำรายการ คือการส่งมอบเงินตามกฎของตลาด แต่ในความเป็นจริง ไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ต้องการซื้อขายคู่เงินกันจริง ๆ เพียงแค่ต้องการเทรดส่วนต่างเพื่อเก็งกำไร
ทุกวันหลังตลาดนิวยอร์กปิด จะมีการทำ roll over เลื่อนวันทำการคำสั่ง มาเป็นวันล่าสุดแทน กล่าวคือ จะไม่มีวันที่การตัดยอดคำสั่งมาถึง กรณีที่เทรดเดอร์ถือออเดอร์เป็นเวลาหลายวัน อาจจะมีค่าใช้จ่าย Swap เกิดขึ้น ซึ่งค่า swap เป็นอัตราดอกเบี้ยของค่าเงินทั้งสองในคู่นั้นนั่นเอง
วิธีการดูค่า swap
ภาพแสดงวิธีดูค่า swap ที่แตกต่างกันในการเข้าเทรดทั้ง 2 ฝั่ง ถ้าถือออเดอร์ Buy จะเสียค่า swap 6.1 นับเป็นต้นทุนในการเทรดที่เพิ่มขึ้น
ในปัจจุบันหลาย ๆ โบรกเกอร์ มีตัวเลือกให้เทรดเดอร์ คือเลือกบัญชีประเภทฟรี swap อาจจะต้องแลกด้วยเสียค่าธรรมเนียมในส่วนอื่น ๆ สูงขึ้น หรือประเภทบัญชีของอิสลาม ที่จะปลอดดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้ผิดหลักศาสนา
8. วิธีการเทรด
กลยุทธ์ในการเทรด Forex คือ วิธีในการวิเคราะห์และการเก็งกำไร แบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก ๆ คือ การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental analysis) และการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค (Technical analysis) สามารถใช้ทั้งสองแนวทาง หรือแนวทางใดแนวทางหนึ่งได้
ภาพแสดงแนวทางในการวิเคราะห์ เช่น ปัจจัยพื้นฐาน จะใช้ข่าวหรือแนวโน้มทางเศรษฐกิจเป็นหลัก และการใช้ปัจจัยทางเทคนิค จะอาศัยกราฟ อินดิเคเตอร์ หรือเครื่องมือทางเทคนิคเป็นหลัก
- การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental analysis): การวิเคราะห์วงจรเศรษฐกิจ ข่าว ตัวเลขทางเศษฐกิจ เป็นแนวทางหรือหาจังหวะในการเข้าเทรด เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดเคลื่อนที่อย่างรุนแรง
- การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค (Technical analysis): การวิเคราะห์พฤติกรรมราคา สถิติ และความน่าจะเป็น รวมไปถึงการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่นำมาช่วยวิเคราะห์ เช่น อินดิเคเตอร์
ตัวอย่าง การนำทั้งสองปัจจัยมาประกอบกัน เทรดเดอร์หรือนักลงทุน จะใช้ปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว แล้วหาจุดเข้าด้วยปัจจัยทางเทคนิค แล้วนำวิธีทั้งสองอย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง มาสร้างเป็นระบบเทรด
ระบบเทรด คือ แผนในการเทรดเพื่อเอาชนะตลาด โดยอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง มีการกำหนดวิธีการเข้าและออกอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถใช้ซ้ำได้ โดยระบบที่ทำกำไรได้ ส่วนใหญ่จะถูกนำมาสร้างเป็นเครื่องมือช่วยเทรด หรือระบบเทรดอัตโนมัติ เช่น EA (Expert Advisor)
9. คำสั่งซื้อขาย
โปรแกรมที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เลือกใช้ MT4 หรือโปรแกรมอื่น ๆ จะมีหลักการณ์ไม่ต่างกันมากนัก จะมีคำสั่งซื้อขาย 2 ประเภท คือคำสั่งทันที และคำสั่งล่วงหน้า
ภาพแสดงตัวอย่างคำสั่งซื้อขาย และวิธีในคำสั่งในแต่ละรูปแบบ
- Buy Stop: คำสั่ง Buy หากราคาเคลื่อนที่ไปยังทิศทางในแนวโน้มขาขึ้น คำสั่งจะอยู่เหนือราคาปัจจุบัน
- Sell Stop: คำสั่ง Sell หากราคาเคลื่อนที่ไปยังทิศทางในแนวโน้มขาลง คำสั่งจะอยู่ใต้ราคาปัจจุบัน
- Buy Limit: คำสั่ง Buy ในแนวโน้มขาขึ้นหากราคาย้อนกลับลงมา คำสั่งจะอยู่ใต้ราคาปัจจุบัน
- Sell Limit: คำสั่ง Sell ในแนวโน้มขาลงหากราคาดีดกลับขึ้นไป คำสั่งจะอยู่เหนือราคาปัจจุบัน
- Stop Loss (SL): จุดตัดขาดทุน หากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
- Take Profit (TP): เป้าหมายในการทำกำไร หรือจุดที่คาดว่าราคาจะไปถึง
ระดับสูง สำหรับมืออาชีพ
1. ความเสี่ยงคืออะไร
ความเสี่ยง หรือโอกาส ความเป็นไปได้ เหตุไม่คาดฝัน ที่อาจจะเกิดขึ้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนหรือเทรดเดอร์จะต้องจัดการ ควบคุม ให้อยู่ในจุดที่สามารถยอมรับได้
การเทรด Forex แม้จะมีระบบ หรือผ่านการวิเคราะห์มาดีแค่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะการันตีได้ว่า จะสามารถทำกำไรได้อย่าง 100% ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่า จะต้องมีวิธีในการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในตลาด เมื่อผิดพลาดยังกลับมาสู้ใหม่ หรือได้กำไรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
2. การบริหารจัดการความเสี่ยง ทำได้อย่างไร
ก่อนอื่นนักลงทุน จะต้องชัดเจนกับตัวเองเสียก่อนว่า สามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด เพราะความเสี่ยงหรือการยอมรับได้แต่ละคน อาจจะมีไม่เท่ากัน บางคนเสี่ยงได้สูง บางคนเสี่ยงได้ต่ำ และปัจจัยหนึ่งที่จะนำมาพิจารณาร่วมกับการจัดการความเสี่ยงนั่นก็คือ “เงินทุน”
เพราะเงินทุนที่ไม่เหมาะสม จะส่งผลอย่างมากต่อสภาพจิตใจ ดังนั้นเงินทุนนั้น
ภาพแสดงปัจจัยด้านเงินทุน ที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจ โดยต้องพิจารณาแหล่งที่มาของเงินทุนที่เหมาะสมกับการเทรด
- จะต้องเป็นเงินทุนที่มีไว้สำหรับลงทุนจริง ๆ
- ไม่กู้หรือนำเงินของครอบครัวทั้งหมดมาลงทุน
- ไม่มากหรือน้อยเกินไป
- สามารถฝากหรือเทรดได้นาน ๆ
กำหนดให้ชัดเจนว่า ในทุกครั้งที่เทรด จะใช้ความเสี่ยงที่เท่าไหร่ เช่น 1% หรือ 3% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ เช่น มีเงินทุนอยู่ 10,000 USD จะใช้ความเสี่ยงไม่เกินที่ 3% ของพอร์ต เท่ากับเงินที่เสี่ยงได้ทั้งหมดนั้นคือ 300 USD
3. ทำไมต้อง การกระจายความเสียง
การกระจายความเสี่ยง คล้ายกับการนำไข่ ไปไว้หลาย ๆ ตะกร้า หากตะกร้าใดตะกร้าหนึ่งผิดพลาดหรือตกขึ้นมา ก็จะยังมีตะกร้าที่ 2 หรือที่ 3 อยู่ แต่ถ้านำเอาไข่ทั้งหมดมาไว้ในตระกร้าเดียว หากผิดพลาดอาจจะเสียไข่เลยทั้งหมด
การกระจายความเสี่ยงในด้านสินค้า
ถ้าคนที่เทรดหุ้น ก็คงจะกระจายไปยังสินค้าหลาย ๆ ตัว ส่วนเทรดเดอร์ที่เทรดในตลาด Forex ก็อาจจะแบ่งหรือกระจายไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นนอกจากค่าเงิน เช่น หุ้น ดัชนี และสินค้าโภคภัณฑ์
การเทรดคู่เงิน ที่ใช้วิธีกระจายไปหลาย ๆ คู่เงิน ฟังดูอาจจะเป็นวิธีที่ดี แต่ยังมีหลายคนที่ยังเทรดคู่เงินซ้ำ ๆ หรือมีการเคลื่อนที่คล้าย ๆ กันเช่น เทรดคู่เงินที่มีการเคลื่อนที่คล้าย ๆ กัน แต่สัญญาณเทรดอาจจะชี้ไปคนละทาง วิธีการเช็คคู่เงินที่มีความสัมพันธ์กัน เข้าไปที่ลิงก์นี้ https://www.myfxbook.com/forex-market/correlation
ภาพแสดงความสัมพันธ์ของแค่ละคู่เงิน ถึงการเคลื่อนที่ทับซ้อนกัน แม้จะเทรดหลายคู่ แต่ถ้ามีความสัมพันธ์ทับซ้อนกัน ได้กำไรอาจจะได้เหมือนกัน แต่ถ้าขาดทุนก็อาจจะขาดทุนถึง 2 เท่า
จากในภาพ จะมีคู่เงินที่เรียงกันเป็นแนวนอน และแนวตั้ง โดยให้นำแต่ละคู่เงินที่สนใจมาเปรียบเทียบกันในแนวนอนและแนวตั้ง
- ความสัมพันธ์: ทั้งสองคู่เงินเกิน 80% แสดงว่ามีการเคลื่อนที่คล้าย ๆ กัน แม้การวิเคราะห์จะแตกต่างกัน อาจจะทำให้มีโอกาสผิดพลาดได้ ควรหลีกเลี่ยงในการเทรดที่ทับซ้อน หรือเลือกเทรดคู่เงินใดคู่เงินหนึ่ง
- ทั้งสองคู่เงิน: ความสัมพันธ์ -80 แสดงว่าทั้งสองคู่เงินวิ่งสวนทางกัน การวิเคราะห์จึงมีปัจจัยที่แตกต่างกัน
การกระจายความเสี่ยงในด้านของเวลา
แม้เทรดคู่เงินเดียวกัน แตกต่างกันที่ช่วงเวลา ก็อาจจะทำกำไรได้แตกต่างกัน
- เทรดสั้น: เป็นการวิเคราะห์ตลาดภายใน 1 วัน หาโอกาสหรือสัญญาณในการเข้าเทรด และจบภายใน 24 ชั่วโมง
- เทรดกลาง: วิเคราะห์ตลาดในช่วงเวลา 2-3 วัน แต่ไม่ถือข้ามสัปดาห์ โดยการเทรดช่วงวันจันทร์-อังคาร และจบให้ได้ภายในวันศุกร์
- เทรดยาว: วิเคราะห์ตลาดในช่วงระหว่าง 1-3 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น เป็นการเทรดในแนวโน้มใหญ่ รันเทรนด์ในรอบใหญ่ เก็บกำไรก้อนโต
คือการกระจายความเสี่ยงในด้านของเวลา หรือระบบเทรดที่แตกต่าง ระยะยาวอาจจะกำลังรันเทรนด์ ในระยะกลาง และระยะสั้นอาจจะกำลังเก็บกำไรก้อนเล็ก ๆ ก็สามารถทำได้
การกระจายความเสี่ยงด้วยพอร์ต
ภาพแสดงการกระจายความเสี่ยงด้วยพอร์ต เสมือนการใช้บริการหลาย ๆ โบรกเกอร์ โดยการกระจายเงินทุนออกไป เมื่อโบรกเกอร์ใดหนีหาย เงินทุนและกำไร ก็จะยังมีอยู่ในโบรกเกอร์ที่ 2 และที่ 3
โบรกเกอร์ คือผู้ที่อยู่กับเงินทุนของเทรดเดอร์ หากโบรกเกอร์ปิดตัว หรือหนีหายไปดื้อ ๆ ก็คงไม่ดีแน่ ถ้ามีเพียงโบรกเกอร์เดียว ทุกสิ่งที่สร้างหรือเทรดมาทั้งหมด ก็หายไปด้วยทันที แต่ถ้ามีการแยกออกไปหลาย ๆ โบรกเกอร์ ที่หนึ่งปิดตัว ก็ยังคงมีอีกที่หนึ่ง ที่จะยังพอมีทุนให้กลับขึ้นมาสู้ใหม่ได้
4. วิธีคำนวนความเสี่ยง อย่างมืออาชีพ
ก่อนอื่น ให้เข้าใจเรื่องของ Pip Value เสียก่อน คือมูลค่าการเคลื่อนที่ของราคา โดยแต่ละประเภทบัญชี จะมี Contact Size ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีที่ใช้ และมีมูลค่าที่แตกต่างกัน
- Standard lot = 10 USD
- Mini lot = 1 USD
- Micro lot = 10 USD
ตัวอย่างการเคลื่อนที่ Standard lot ทุก ๆ 1 pip จะมีมูลค่า 10 USD เคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่เป็นบวก จะได้กำไร 10 USD และถ้าเคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่เป็นลบ จะขาดทุน 10 USD
การจัดการความเสี่ยงด้วย กฎ 1%
การกำหนดความเสี่ยงนักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม แต่วิธีนี้ขอนำเสนอโดยใช้กฎ 1% ในบัญชี Standard โดยใช้เงินทุน 10,000 USD
ความเสี่ยงที่ใช้ 1% ของเงินทุน 10,000 USD เท่ากับว่าในทุก ๆ การเทรดจะเสี่ยงได้ไม่เกิน 100 USD เข้า Sell คู่เงิน EUR/USD ที่ราคา 1.06562 มี ST ที่ 1.06980 และมี TP ที่ 1.05568
- ความเสี่ยงที่ใช้เทรดในครั้งนี้ 1% เท่ากับ 100 USD
- เมื่อคำนวนจากจุดเข้า ไปยัง SL ระยะห่างอยู่ที่ 41.8 pips
- ให้นำความเสี่ยง มาหารด้วยระยะ ใช้หน่วยที่เล็กที่สุดคือ จุด ระยะ SL คือ 100/418 = 24
- โดยจะเทรดได้ไม่เกิน 0.24 lots เพื่อไม่ให้ขาดทุนเกิน 100 USD
การใช้ กฎ 1% เป็นประโยชน์กว่าที่คิด เพียงเทรดเดอร์หรือนักลงทุนรักษากฎ จะไม่มีทางที่จะล้างพอร์ตได้โดยง่าย
- ขาดทุน: เพียงใช้กฎ 1% หมายความว่า Lot Size จะเล็กลง หากเงินทุนเหลือน้อยลง
- กำไร: ใช้กฎ 1% Lot Size จะใหญ่ขึ้น ตามเงินทุนที่มีในพอร์ต กำไรก็จะเพิ่มมากขึ้น
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ดอกเบี้ยทบต้น การเทรดด้วยกฎ 1% ผลกำไรก็จะสามารถทบกำไร ได้เช่นกัน
5. ความเชื่อผิด ๆ ตลาด Forex
- ตลาด Forex คือการพนัน: แม้จะคล้ายกับการทายผลขึ้นหรือลงเพียงเท่านั้น แต่สิ่งที่ต่างจากการพนันคือ การจัดการความเสี่ยง ที่การพนันไม่สามารถทำได้ เช่นการตั้ง SL หรือเมื่อเห็นว่าผิดทางก็สามารถตัดขาดทุนได้ทันที อีกทั้งยังมีทฤษฎี หรือแนวทางวิเคราะห์ มากกว่าการนั่งเดาทางเพียงอย่างเดียว ตลาด Forex จึงไม่ใช่การพนันสำหรับคนที่เข้าใจและเรียนรู้ตลาดอย่างแท้จริง
- ตลาด Forex คือแชร์ลูกโซ่: บ่อยครั้งเห็นข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับวงการ Forex การชักชวน หรือการหาสมาชิกเพื่อรับค่าตอบแทน ความจริงแล้วตลาด Forex เป็นตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใหญ่ที่สุด ทั่วโลกรู้จักดี เพียงแค่คนสมองใส นำเอาตลาด Forex มาบังหน้า และหาวิธีหลอกลวงเงินกับคนที่ไม่รู้เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าเข้ามาเรียนรู้ตลาดนี้จริง ๆ จะไม่มีใครที่มาหลอกลวงเราได้เลย
- ใช้อินดิเคเตอร์หลากหลายช่วยให้แม่นยำ: อินดิเคเตอร์ที่ใช้วิเคราะห์ตลาด ส่วนใหญ่มาจากเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ โดยใช้ราคาปัจจุบัน หรือราคาปิดในการนำไปสร้างเครื่องมือ เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ แต่เทรดเดอร์หลายคนไม่เข้าใจ ใช้หลากหลายตัวที่ทำงานคล้าย ๆ กัน และมีความเชื่อว่า ถ้าอินดิเคเตอร์ส่งสัญญาณ แล้วกราฟจะขึ้นหรือลง แต่ในความเป็นจริง เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้หลักสถิติเพียงเท่านั้น ส่งสัญญาณบางอย่างเพื่อให้นำไปเป็นแนวทาง มากกว่าความเชื่อว่ามันจะขึ้นหรือลง
- ถ้ามีความแม่นยำ ก็รวยได้ชั่วข้ามคืน: เป็นความจริง แต่ในความจริงไม่มีเทรดเดอร์คนไหน ที่จะรู้หรือมีวิธีวิเคราะห์ว่ามันจะขึ้นหรือลงทั้ง 100% มีเพียงหลักของความน่าจะเป็นเท่านั้น ที่จะใช้วิเคราะห์ตลาด และหาโอกาสทำกำไรจากมัน แม้จะมีความแม่นยำ ก็มีโอกาสผิดพลาดได้ ดังนั้นการจะอยู่ในตลาดให้ได้อย่างดี จะต้องมีวิธีจัดการความเสี่ยง ควบคุมตนเอง และทำซ้ำ ๆ อย่างเป็นระบบ
- ไม่ตั้ง SL หรือไร้ประสิทธิภาพ: ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง บ่อยครั้งเหมือนตลาดแกล้ง ๆ กิน SL หรือความเป็นจริงนักลงทุนเอง ที่ตั้ง SL แบบไม่มีประสิทธิภาพก็เป็นได้ ตลาด Forex มีผู้ซื้อก็ต้องมีผู้ขาย ถ้าไม่มีคนซื้อขายก็ไม่เกิดการแลกเปลี่ยน ผู้เล่นหลักหรือผู้ต้องการซื้อในปริมาณมาก ๆ อาจจะกำลังต้องการผู้ขายปริมาณมาก ๆ เช่นเดียวกัน จึงเกิดการ Stop hunting เพื่อหาโอกาสในการออกคำสั่งขนาดใหญ่ และล่า SL จากรายเล็ก ๆ
6. แก้พฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดีต่อการเทรด
สิ่งที่เทรดเดอร์หรือนักลงทุน ทำโดยไม่รู้ตัว อาจจะส่งผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ได้มากกว่าที่คิด ลองมาพิจารณาสาเหตุที่ทำให้เทรดเดอร์ล้มเหลว มีดังต่อไปนี้
- ความโลภ: อารมณ์ที่ทำให้นักลงทุนพังมากที่สุด อาจจะปฎิเสธไม่ได้ว่า ทุกคนเข้าตลาดมาก็อยากได้เงิน แต่จะต้องมีวิธีในการควบคุมอารมณ์ดังกล่าว เพื่อที่จะไม่ให้อารมณ์มาทำให้เสียการเทรด
- เทรดแบบเอาคืน: ชนะ ต้องชนะให้เป็น และแพ้จะต้องแพ้ให้เป็น ตอนที่กราฟบวกอาจจะรู้สึกดี แต่เมื่อโดนลากหรือติดลบ อยากจะได้ส่วนที่บวกนั้นคืน จึงเผลอทำให้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ เช่น เทรดโดยไม่มีการวางแผน ทบคำสั่งซื้อเป็น 2 เท่า จนเกิดความเสียหายตามมา
- รีบเข้าเกินไป: จังหวะที่กราฟดีด คิดว่ากราฟกำลังจะบิน กลัวไม่ทัน กลัวตกรถ โดยที่ไม่ได้วิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน แต่เมื่อเข้าออเดอร์ไปแล้ว กราฟจึงเริ่มย่อตัว หรือเปลี่ยนทิศทาง ไม่ได้วิเคราะห์ให้ดีก่อนเข้า รีบกลัวจะเข้าไม่ทัน จึงเกิดความเสียหายตามมา
- อารมณ์อ่อนไหว: แม้เข้าเทรดตามแผนอย่างดีแล้ว ในจังหวะที่กราฟกำลังเคลื่อนที่ อาจจะมีความผันผวน จนอาจจะรู้สึกว่า กราฟไม่น่าจะเป็นไปตามที่วิเคราะห์ไว้ ทำการปิดออเดอร์เพราะกลัวขาดทุน แล้วเปลี่ยนทิศทางเล่นใหม่ แต่ท้ายที่สุดกราฟกำลังเคลื่อนที่ไป ตามแผนเดิม จึงทำให้เกิดความเสียหายในที่สุด
- เทรดเกินตัว: แม้จะบอกว่า สามารถรับความเสี่ยงได้ แต่ไม่ได้เกิดจากการวิเคราะห์ หรือเป็นไปตามกำลังของพอร์ต เปิดออเดอร์เกินกว่าพอร์ตจะรับไหว ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่จะนำมาซึ่งความเสียหายเช่นกัน
แม้ในหลาย ๆ เรื่อง อาจจะเป็นเรื่องที่รู้จักและคุ้นเคย แต่ก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นลองดูวิธีแก้ไข เพื่อการพัฒนาการเทรด และมีกำไร
ภาพแสดงสาเหตุที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ล้มเหลว ที่มาจากพฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดี การฝึกฝนจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ด้วยวิธีง่าย ๆ คือ ตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง มีแผนการเทรด รักษาวินัย เขียนทุกอย่าง เพื่อให้กระทำการทุกอย่างโดยมีสติ
- ตั้งเป้าหมาย: จะต้องมีเป้าหมายว่า เข้ามาในตลาดนี้เพราะอะไร แล้วตัดสินใจว่า จะทำทุกวิถีทางที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น เพราะเป้าหมายจะนำไปสู่วิธีคิดและวิธีทำที่ถูกต้อง เช่น ถ้าต้องการอยู่ในตลาดได้ในระยะยาว สิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญคือ การรักษาเงินทุน
- มีแผนในการเทรด: คือการกำหนดวิธีการเทรด โดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ การจัดการความเสี่ยง หรือความรู้ใด ๆ ที่ได้เรียนรู้มา ประกอบกับการสร้างแผน เพื่อให้การเทรดเป็นไปอย่างถูกต้องและไร้อารมณ์ ส่วนใหญ่ที่เทรดโดยไม่มีแผน ล้วนมาจากอารมณ์ ที่จะทำให้ไปสู่ความล้มเหลวทั้งสิ้น
- รักษาวินัย: เคารพต่อเป้าหมาย และแผนการของตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่ละเมิดแผน นั่นคือการทำลายวินัยตนเอง ที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด
- เขียนทุกอย่าง: ไม่ว่าจะเป็นแผน เป้าหมาย รวมไปถึงการบันทึกการเทรด จะทำให้เทรดเดอร์ได้ใช้ความคิด ทบทวน อย่างมีเหตุมีผล เป็นการตอกย้ำสิ่งที่กำลังทำ ด้วยการมีสติในการลงมือทำอีกด้วย
คำถามพบบ่อย
- เทรด Forex เป็นอาชีพได้ไหม
- สามารถเทรดเป็นอาชีพได้ แต่จะต้องมีความรู้ประสบการณ์ที่มากพอ ที่จะเอาชนะใจตัวเอง จึงจะสามารถเอาชนะตลาดได้
- สามารถทำกำไรจากตลาดนี้ได้จริง ๆ หรือเปล่า
- ตลาด Forex เป็นตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่สถาบันการเงินใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านจากตลาดนี้ เทรดเดอร์หรือนักลงทุนรายย่อย สามารถเทรดได้ผ่านโบรกเกอร์ที่ให้บริการ สามารถทำกำไรในตลาดนี้ได้จริง
- Forex ยังไม่ถูกกฎหมาย เทรดได้หรือไม่
- แม้ในหลาย ๆ ประเทศ ยังไม่ถูกกฎหมาย แต่ยังมีอีกหลาย ๆ ประเทศ ที่มีการเทรดได้อย่างถูกกฎหมาย แม้ในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงาน หรือกฎหมายใดรองรับ การเทรดจึงสามารถเทรดได้ ผ่านโบรกเกอร์ในประเทศที่ถูกกฎหมาย
- จะเอาชนะตลาดให้ได้อย่างยั่งยืน เริ่มต้นยังไง
- นักลงทุนรายใหญ่ สถาบันการเงินต่าง ๆ ล้วนเต็มไปด้วยยอดฝีมือ หรือเครื่องมือในการทำกำไรที่ทันสมัย เช่น AI ถ้าต้องการเอาชนะตลาดนี้ให้ได้อย่างยั่งยืน เป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีความรู้ โดยเริ่มต้นจากการหาความรู้ให้มาก พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มีวินัยอย่างเข้มข้น ก็จะสามารถเอาชนะตลาดไม่วันใดก็วันหนึ่ง
สรุป
คู่มือ เทรด Forex เป็นองค์ความรู้ ที่ได้ผ่านการเรียนรู้และทดลองกับตลาดจริง ที่เทรดเดอร์และนักลงทุน ทั้งมือใหม่หรือมือเก่า สามารถใช้เป็นคู่มือประจำตัว เพื่อเป็นการเรียนรู้ ทบทวน หรือเปิดมุมมองใหม่ ๆ
ตึกจะสูงไม่ได้ ถ้าไม่มีรากฐานที่มั่นคง เก่งอย่างไรก็อย่าลืมพื้นฐาน และเป็นพื้นฐานที่พิสูจน์มาแล้ว จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับตลาด Forex รู้แจ้งทั้งขาวและดำ
เพื่อให้ผู้ที่เรียนรู้และปฎิบัติตามไม่เสียเวลา อย่าลืม แชร์ บันทึก เก็บไว้ ใช้เป็นคู่มือประจำตัว ที่เปิดทบทวนหรือเรียกใช้ได้ตลอดเวลา…