ปฐมบท 0 – 100 กับ Forex ฉบับสมบูรณ์
ความหมายและลักษณะของตลาด Forex
- Foreign Exchange (Forex หรือ FX) คือตลาดสำหรับการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ มีลักษณะเป็นการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-Counter: OTC) ดำเนินการผ่านตัวกลางทางการเงิน เช่น ธนาคาร, ผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Provider) และโบรกเกอร์
- Forex เป็นการซื้อขายเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาของคู่สกุลเงิน อันเกิดจากความแข็งค่าและอ่อนค่าของสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง เช่น การนำเงินไปแลกในช่วงที่คู่เงินเกิดการแข็งค่า และ แลกกลับในช่วงที่คู่เงินมีการอ่อนค่า เป็นต้น (ปัจจุบันนอกจากคู่เงินก็มีสินทรัพย์อีกหลากหลายที่เทรดได้ เช่น ทองคำ—XAUUSD)
- การเทรด Forex ไม่ได้หมายถึงการครอบครองสกุลเงินนั้นจริง แต่เป็นการซื้อขายในรูปแบบของ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contracts for Difference: CFDs) ซึ่งเป็นตราสารอนุพันธ์ที่ทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเปิดและราคาปิดของสัญญา
- ตลาด Forex ไม่มีศูนย์กลางหรือที่ตั้งทางกายภาพที่ชัดเจน แต่เป็นเครือข่ายการแลกเปลี่ยนสกุลเงินทั่วโลก ดังนั้น ตลาดที่นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงจึงเป็นตลาด CFDs ที่อ้างอิงราคามาจากตลาด Forex ระหว่างธนาคาร
- ข้อควรระวังที่สำคัญคือ โบรกเกอร์น้อยรายที่จะส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาด Forex จริง ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องเอง (Dealing Desk) และมีเพียงส่วนน้อยที่ส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าเข้าสู่ตลาด Forex ระหว่างธนาคารโดยตรง (Non-Dealing Desk)
- Forex สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง เนื่องจากเป็นการซื้อขายสัญญา CFDs นักลงทุนจึงสามารถเปิดสถานะได้ทั้งสองทิศทาง คือ สถานะซื้อ (Buy) เพื่อทำกำไรเมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น และ สถานะขาย (Sell) เพื่อทำกำไรเมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลดลง
- จุดกำเนิดของตลาด Forex ในปัจจุบัน มาจากการล่มสลายของ ระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods System) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โลกเปลี่ยนจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ มาสู่ระบบลอยตัวที่เปิดให้เก็งกำไรค่าเงินได้ดังเช่นทุกวันนี้ สามารถศึกษาเรื่องราวเชิงลึกได้ในบทความ เบื้องหลัง Bretton Woods: จากยุคทองสู่การล่มสลายของระบบการเงินโลก
ช่วงเวลาทำการของตลาด Forex
แม้ว่าตลาดจะเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง แต่สภาพคล่องและความผันผวนของแต่ละคู่สกุลเงินจะแตกต่างกันไปตามเขตเวลาของตลาดการเงินหลักทั่วโลก
รูปที่ 2 รูปภาพที่แสดงถึงเวลาเปิดปิดของตลาด Forex ในแต่ละคู่เงินหลัก
- ช่วงมี DST ในยุโรป/อเมริกา (ประมาณปลาย มี.ค.–ปลาย ต.ค.)
- ซิดนีย์ (AUD): 05:00 – 13:00 น.
- โตเกียว (JPY): 06:00 – 14:00 น.
- แฟรงก์เฟิร์ต (CHF, EUR): 13:00 – 21:00 น.
- ลอนดอน (GBP, EUR): 15:00 – 23:00 น.
- นิวยอร์ก (USD, CAD): 19:00 – 03:00 น.
-
ช่วงฤดูหนาวยุโรป/อเมริกา (ประมาณปลาย ต.ค.–ปลาย มี.ค.)
-
ซิดนีย์ (เมื่อออสเตรเลียเข้า DST): 04:00–12:00
-
โตเกียว: 06:00–14:00 (ไม่เปลี่ยน)
-
แฟรงก์เฟิร์ต: 14:00–22:00
-
ลอนดอน (GMT): 15:00–23:00
-
นิวยอร์ก (EST): 20:00–04:00
-
หมายเหตุ: อ้างอิงเวลาตามประเทศไทย
ตลาด Forex เปิดทำการซื้อขาย 5 วันต่อสัปดาห์ (จันทร์-ศุกร์) และปิดทำการในวันเสาร์-อาทิตย์ แต่โบรกเกอร์บางแห่งอาจเปิดให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่น สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ในช่วงสุดสัปดาห์
คำศัพท์พื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนเริ่มเทรด Forex
ความเข้าใจในคำศัพท์พื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนในตลาด Forex เนื่องจากเป็นรากฐานในการต่อยอดความรู้และทำความเข้าใจโครงสร้างกลยุทธ์การลงทุนต่างๆ
ความหมายของ Lot size คือ
รูปที่ 3 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง Lot size ในบัญชีประเภทต่าง ๆ เทียบกับค่า Contract Size
- Lot size หรือ Lot คือ หน่วยที่ใช้กำหนดปริมาณหรือขนาดของการซื้อขาย โดยมีขนาดมาตรฐานและขนาดย่อยดังนี้:
- Standard Lot: 1 Lot = 100,000 หน่วย ของสกุลเงินหลัก (Base Currency)
- Mini Lot: 0.1 Lot = 10,000 หน่วย
- Micro Lot: 0.01 Lot = 1,000 หน่วย
-
Nano Lot (มีแค่บางโบรกเกอร์) = 100 หน่วย
- Contact Size จะมีค่าไม่เท่ากันในแต่ละสินทรัพย์ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่า 1 Lot ในแต่ละสินทรัพย์มีค่าเท่าไร เช่น คู่สกุลเงินหลัก Contact Size จะมีค่าเท่ากับ 100,000 ต่อ Lot สำหรับบัญชี Standard Lot
- สามารถหาค่า Contact Size ได้จากการกดดู Symbol ภายในโปรแกรม MT4 และ MT5
รูปที่ 4 รูปภาพตัวอย่างการคำนวน Lot size ผ่านทางโปรแกรมช่วยคำนวนบนเว็บไซต์ของ Exness
- ตัวอย่างการใช้งาน Lot size เบื้องต้น: โดยปกติแล้วการคำนวนของ Lot size มักจะมีวิธีคิดได้หลากหลายรูปแบบ
- ตัวอย่างสูตร: PipValue=(ContractSize×PipSize×Lot)÷ราคาปัจจุบัน
-
อธิบายตัวแปร:
-
Contract Size = ขนาดสัญญา (เช่น EURUSD = 100,000 หน่วย ต่อ 1 Lot)
-
Pip Size = ขนาดของการเปลี่ยนแปลง 1 pip (เช่น 0.0001 สำหรับ EURUSD)
-
Lot = จำนวน Lot ที่เปิด
-
ราคาปัจจุบัน = ราคาของสินทรัพย์ในขณะนั้น
-
- หากไม่อยากคำนวณเอง สามารถใช้ เครื่องคิดเลขการเงิน ของ Exness ซึ่งจะช่วยคำนวณ Lot size, Margin, Swap และ Pip Value ให้โดยอัตโนมัติ
ความหมายของ Pip และ Points คือ
- Pip และ Points: คือคือหน่วยที่เล็กที่สุดของการเปลี่ยนแปลงราคา:
- Pip: โดยทั่วไปหมายถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 4 สำหรับคู่เงินส่วนใหญ่ (เช่น EUR/USD) และตำแหน่งที่ 2 สำหรับคู่เงินที่มี JPY
- Point: คือทศนิยมตำแหน่งถัดจาก Pip (ตำแหน่งที่ 5 หรือ 3)
- 1 Pip จะมีค่าเท่ากับ 10 Points เสมอ
รูปที่ 5 รูปภาพตัวอย่างการอธิบายตำแหน่งของ Pip และ Point ในคู่สกุลเงิน EURUSD ที่มีจำนวนทศนิยมจำนวน 5 ตำแหน่ง และ USDJPY ที่มีทศนิยมจำนวน 3 ตำแหน่ง
- ยกตัวอย่างการการหาระยะทางของ EURUSD : 1.00025 ไปยัง EURUSD : 1.00012
- ให้ทำค่าทั้งสองราคามาลบกัน : 1.00025 – 1.00012 = 0.00013
- ในหน่วย Point จะได้ระยะทางเท่ากับ 13 point
- ในหน่วย Pip จะได้ระยะทางเท่ากับ 1.3 pip
- ยกตัวอย่างการการหาระยะทางของ USDJPY : 100.012 ไปยัง USDJPY : 100.025
- ให้ทำค่าทั้งสองราคามาลบกัน : 100.025 – 1.00012 = 0.013
- ในหน่วย Point จะได้ระยะทางเท่ากับ : 13 point
- ในหน่วย Pip จะได้ระยะทางเท่ากับ : 1.3 pip
- ยกตัวอย่างการการหาระยะทางของ EURUSD : 1.50025 ไปยัง EURUSD : 1.30012
- ให้ทำค่าทั้งสองราคามาลบกัน : 1.50025 – 1.30012 = 0.20013
- ในหน่วย Point จะได้ระยะทางเท่ากับ : 20013 point
- ในหน่วย Pip จะได้ระยะทางเท่ากับ : 2001.3 pip
หมายเหตุ : ตัวเลขสีแดงแสดงถึงค่าในตำแหน่ง Pip และสีน้ำเงินแสดงค่าในตำแหน่ง Point
ความหมายของ Leverage
รูปที่ 6 รูปภาพตัวอย่างการอธิบายความหมายของ Leverage และความสามารถในการเพิ่มจำนวนเงินให้สามารถซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาที่เพิ่มมากขึ้น
- Leverage หรือ เลเวอเรจ แปลตามภาษาไทยหมายถึง “คานงัด” ความสามารถของมันคือพลังในการทวีคูณเข้าไปในเงินลงทุนของเรา นั้นเหมายถึงเราสามารถใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้อขายสินทรัพย์ในราคาที่สูงได้ โดยปกติจะมีให้เลือกในขั้นตอนเปิดบัญชี อยู่ที่ 1:1 จนมากถึง 1:2,000 หรือ ไม่จำกัด (ในบางโบรกเกอร์ เช่น Exness)
- ยกตัวอย่างการทำงานของเลเวอเรจ: หากมีเงินจำนวน 100 USD และต้องการซื้อสินค้าในราคา 10,000 USD โดยปกติแล้วจะไม่สามารถซื้อได้เนื่องจากมีเงินไปพอ ซึ่งในกรณีนี้คือจะมีเลเวอเรจอยู่ที่ 1:1 แต่ถ้าหากโบรกเกอร์สามารถให้เลือกใช้เลเวอเรจ 1:1,000 ได้ เท่ากับว่า ความสามารถในการซื้อสินค่าจะสูงถึง 100 USD x 1,000 เท่ากับ 100,000 เลยทีเดียว
- Leverage คือดาบสองคมที่อันตรายในตลาด Forex: ในวงการนี้ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Leverage คือความอันตรายต่อผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะนอกจากจะสามารถลงทุนได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย แต่ในทางกลับกัน ก็สามารถสร้างความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงด้วยเช่นกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- กรณีซื้อขายถูกทาง: มีทุนอยู่ 1,000 $ ใช้ เลเวอเรจ 1:100 ทำการ Buy ด้วยจำนวน 1 Lot กราฟมีการพุ่งขึ้น 1,000 pip เท่ากับว่าคุณจะได้กำไร 10,000 $
- กรณีซื้อขายผิดทาง: มีทุนอยู่ 1,000 $ ใช้ เลเวอเรจ 1:100 ทำการ Buy ด้วยจำนวน 1 Lot กราฟมีการพุ่งลง 100 pip เท่ากับว่าคุณจะหมดเงินในบัญชีไปด้วยระยะทางที่สั้นๆ หรือที่เรียกกันว่า ล้างพอร์ต
- หมายเหตุ : ตัวอย่างดังกล่าวทุกการเคลื่อนที่ 1 Pip จะคิดเป็นเงิน 10$ ต่อ 1 Lot
ความสำคัญของ Balance / Equity / Margin และ Margin Level
คำศัพท์กลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับสถานะของเงินทุนในบัญชีซื้อขาย เช่น Balance, Equity, Margin และ Margin Level ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการบัญชี
รูปที่ 7 รูปภาพตัวอย่างแสดงหน้าต่างสถานะของ Balance / Equity / Margin และ Margin Level บนโปรแกรม Mt5
- Balance: คือยอดเงินทั้งหมดในบัญชี โดยยังไม่รวมผลกำไรหรือขาดทุนจากสถานะที่ยังเปิดอยู่ (Floating Profit/Loss)
- Equity: คือยอดเงินคงเหลือในบัญชีตามเวลาจริง (Real-time) ซึ่งคำนวณจาก Equity = Balance + Floating Profit/Loss ค่า Equity จะแสดงให้เห็นว่านักลงทุนจะเหลือเงินเท่าใดหากปิดสถานะทั้งหมดในขณะนั้น
- ในกณีที่ไม่มีออเดอร์ค้างไว้อยู่ Balance จะเท่ากับ Equity เสมอ
- Margin (หลักประกัน): คือจำนวนเงินที่โบรกเกอร์กันไว้จาก Equity ของนักลงทุนเพื่อใช้เป็นหลักประกันในการเปิดสถานะซื้อขายแต่ละครั้ง และจะคืนกลับเข้าสู่ Equity เมื่อสถานะนั้นถูกปิดลง จำนวน Margin ที่ต้องใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของสัญญา, Lot Size และ Leverage
- สูตรสมการคำนวน: Margin = ราคาสินค้า / Leverage * Lot
- ยกตัวอย่างการคำนวน Margin: สมมุติมีสินทรัพย์ราคา 100,000 บาท โดยที่เรามีเงินลงทุน 1,000 บาท ดังนั้นเราควรจะใช้ Leverage 1:100 เป็นอย่างต่ำ ในการที่จะสามารถวางเงินค้ำประกันได้ ดังนั้นเมื่อแทนค่าสมการในสูตรด้านบนจะเห็นได้ว่า Margin จะเท่า 100 บาท
- ยกตัวอย่างความสำคัญของ Margin: เมื่อใดก็ตามหากเรามี Margin ไม่เพียงพอเราก็จะไม่สามารถทำเปิดการซื้อขายในจำนวน Lot มาก ๆ ได้เนื่องจากค่า Margin ไม่พอที่จะใช้สำหรับวางค้ำประกัน และในกรณีที่เราไม่เหลือ Margin อยู่เลยก็มีโอกาสที่โบรกเกอร์จะทำการปิดออร์เดอร์ทั้งหมดให้อัตโนมัติ หรือ ก็คือการล้างพอร์ต (Stop Out)
- Margin Level คือตัวชี้วัดสุขภาพของบัญชีซื้อขาย แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ คำนวณจากสูตร Margin Level (%) = (Equity / Margin) × 100
- หาก Margin Level ลดลงถึงระดับที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ซึ่งเรียกว่า Stop Out Level (เช่น 50%, 20%) ระบบจะทำการปิดสถานะที่ขาดทุนมากที่สุดโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดเงินในบัญชีติดลบ
ประเภทของคำสั่งซื้อขาย (Order Types)
การส่งคำสั่งซื้อขายในตลาด Forex สามารถทำได้หลายรูปแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน
รูปที่ 8 รูปภาพแสดงตัวอย่างของการออกออเดอร์ทั้ง 6 รูปแบบที่จะแสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน
- คำสั่งที่ดำเนินการทันที (Market Execution)
- Buy (ซื้อ): เป็นคำสั่งซื้อ ณ ราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้น
- Sell (ขาย): เป็นคำสั่งขาย ณ ราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลง
- คำสั่งที่รอดำเนินการ (Pending Orders): เป็นคำสั่งที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ระบบเปิดสถานะโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่กำหนด
- Buy Stop: ตั้งราคาซื้อ [สูงกว่า] ราคาปัจจุบัน ใช้ในกรณีที่คาดว่าหากราคาทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไปแล้วจะปรับตัวสูงขึ้นต่อ
- Sell Stop: ตั้งราคาขาย [ต่ำกว่า] ราคาปัจจุบัน ใช้ในกรณีที่คาดว่าหากราคาทะลุแนวรับสำคัญลงไปแล้วจะปรับตัวลดลงต่อ
- Buy Limit: ตั้งราคาซื้อ [ต่ำกว่า] ราคาปัจจุบัน ใช้ในกรณีที่คาดว่าราคาจะย่อตัวลงมาถึงแนวรับสำคัญแล้วจะกลับตัวสูงขึ้น
- Sell Limit: ตั้งราคาขาย [สูงกว่า] ราคาปัจจุบัน ใช้ในกรณีที่คาดว่าราคาจะดีดตัวขึ้นไปถึงแนวต้านสำคัญแล้วจะกลับตัวลดลง
- คำสั่งปิดสถานะ
- Take Profit (TP): ตั้งราคาเป้าหมายเพื่อ ปิดสถานะเมื่อมีกำไร ถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- Stop Loss (SL): ตั้งราคาเป้าหมายเพื่อ ปิดสถานะเมื่อขาดทุน ถึงระดับที่ยอมรับได้ เพื่อจำกัดความเสี่ยง
การวัดผลการดำเนินงาน: Gain และ Drawdown
หนึ่งในคำศัพท์ที่สามารถบอกผลลัพธ์ของกลยุทธิ์ในการเทรดของได้อย่างชัดเจน มักพบในคำศัพท์ยอดฮิตที่ใช้คู่กับการสอบกองทุนหรือการประกอบการตัดสินใจผลงานผ่านทาง Myfxbook
รูปที่ 9 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างการแสดงผลของ Gain และ Drawdown บนหน้าต่างของ Myfxbook
- Gain คืออัตราผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน แสดงเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับเงินฝากเริ่มต้น โดยสำหรับ myfxbook จะมีวิธีการคำนวนแบบ Time-Weight Return (TWR) โดยวัดผลตอบแทนของพอร์ตตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการโอนเงินเข้าพอร์ต
- Abs. Gain: ผลตอบแทน (กำไร/ขาดทุน) ที่คำนวณจากเงินฝากทั้งหมด
- Daily: อัตราผลตอบแทน รายวัน
- Monthly: อัตราผลตอบแทน รายเดือน
รูปที่ 10 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างของการเกิด Drawdown ทั้ง 3 ประเภทที่แตกต่างกัน
- Drawdown คือเปอร์เซ็นต์การลดลงของเงินทุนจากจุดสูงสุด (Peak) มายังจุดต่ำสุด (Trough) ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงและความผันผวนของกลยุทธ์ ทั้งนี้ Drawdown ยังสามารถแบ่งได้อีกหลายประเภทดังนี้
- Absolute drawdown คือ คือผลขาดทุนมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้นคำนวนจากเงินทุนเริ่มต้น มีสูตร คือ Absolute drawdown = Initial Deposit – Minimum Balance ประโยชน์คือสามารถช่วยตรวจสอบได้ว่าเงินทุนเพียงพอต่อระบบเทรดนั้นๆหรือไม่ (ในกรณีที่ใช้ EA)
- Maximum Drawdown คือ จุดขาดทุนต่อเนื่องสูงสุด นับจากผลต่างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด มีสูตรคือ Maximum Drawdown = Maximum peak – Minimum Equity
- Relative Drawdown คือ การขาดทุนต่อเนื่องสูงสุดจะโดยจะบ่งบอกว่ากลยุทธิ์ที่ใช้เทรดนั้น เคยมีการ Stop Loss ติดต่อกันจนขาดทุนเป็นเท่าไร โดยที่จะมีสูตรคือ Relative drawdown = (Maximum Drawdown/ Maximum peak) x 100
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั้ง Gian และ Drawdown คือหนังในตัวแปรที่สำคัญที่จะสามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของกลยุทธิ์ได้ อีกทั้งยังสามารถนำไปรวมกับการ Money Management ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
องค์ประกอบสำคัญของแท่งเทียน หรือ Candlestick Chart
กราฟแท่งเทียนเป็นรูปแบบกราฟที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ร้อยละ 90% ส่วนใหญ่ของคนไทยจะใช้รูปแบบเป็นแบบกราฟแท่งเทียนเป็นหลัก เนื่องจากสามารถแสดงข้อมูลราคาได้อย่างสมบูรณ์ภายในแท่งเดียว
รูปที่ 11 รูปภาพแสดงตัวอย่างองค์ประกอบสำคัญของแท่งเทียน หรือ Candlestick Chart ของทั้งสองแท่งเทียนที่จะประกอบไปด้วย ราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูง, และราคาต่ำ
ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการที่สามารถระบุได้ว่าแท่งเทียนไหนเป็น Bullish หรือ Bearish จึงทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับกลยุทธิ์ในการเทรดได้หลากหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Dow Theory, Elliott Wave, Fibonacci, และพวก Price Action หรือ Candlestick Pattern เป็นต้น โดยพื้นฐานของแท่งเทียนจะมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
- องค์ประกอบของกราฟแท่งเทียน
- ราคาเปิด (Open): ราคาแรกของช่วงเวลานั้นๆ
- ราคาปิด (Close): ราคาสุดท้ายของช่วงเวลานั้นๆ
- ราคาสูงสุด (High): ระดับราคาสูงสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
- ราคาต่ำสุด (Low): ระดับราคาต่ำสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
- เนื้อเทียน (Body): คือส่วนที่เป็นแท่งทึบ แสดงถึงความแตกต่างระหว่างราคาเปิดและราคาปิด
- ไส้เทียน (Wick/Shadow): คือเส้นที่อยู่เหนือและใต้เนื้อเทียน แสดงถึงช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด
- ประเภทของแท่งเทียน
- การเกิดกราฟแท่งเทียน Bullish (แท่งสีเขียว): เกิดจากการที่มี ราคาปิด มากกว่า ราคาเปิด แสดงให้เห็นว่าราคาในขณะนั้นมีแรงซื้อมากกว่าแรงขายทำให้ราคามีการปรับตัวขึ้น
- การเกิดกราฟแท่งเทียน Bearish (แท่งสีแดง):เกิดจากการที่มี ราคาปิด น้อยกว่า ราคาเปิด แสดงให้เห็นว่าราคาในขณะนั้นมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อทำให้ราคามีการปรับตัวลง
- ทำความเข้าใจกราฟแท่งเทียนในแต่ละ Time Frame (TF): เวลาในการเปิดปิดของแท่งเทียนนั้นแต่งต่างกัน เช่น ใน Time Frame 1 นาที แท่งเทียนจะเกิดขึ้นเพียง 1 แท่ง ในขณะเดียวกัน ใน Time Frame 1 นาที จะมีการเกิดแท่งเทียน 5 แท่งในระยะเวลา 5 นาทีเท่าๆกัน เป็นต้น
คู่เงินหลักและคู่เงินรองในตลาด Forex
สินทรัพย์หลักที่ซื้อขายในตลาด Forex คือคู่สกุลเงิน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามสภาพคล่องและความนิยม
รูปที่ 12 รูปภาพตัวอย่างคู่เงินหลัก และ คู่เงินรองในตลาด Forex
- คู่สกุลเงินหลัก (Major Currency Pairs)คู่สกุลเงินหลัก คือคู่สกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) จับคู่กับสกุลเงินหลักของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำอื่นๆ คู่สกุลเงินประเภทนี้ได้รับความนิยมในการซื้อขายสูงสุดในตลาด เนื่องจากมี สภาพคล่องสูง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สกุลเงินเหล่านี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้มีความมั่นคงและเสถียรภาพสูง ตัวอย่างของคู่สกุลเงินหลัก ตัวอย่างเช่น
- EUR/USD (ยูโร / ดอลลาร์สหรัฐ)
- GBP/USD (ปอนด์สเตอร์ลิง / ดอลลาร์สหรัฐ)
- AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย / ดอลลาร์สหรัฐ)
- NZD/USD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์ / ดอลลาร์สหรัฐ)
- USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ / เยนญี่ปุ่น)
- USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ / ฟรังก์สวิส)
- USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐ / ดอลลาร์แคนาดา)
- คู่สกุลเงินรอง (Minor Currency Pairs)คู่สกุลเงินรอง หรือที่รู้จักในชื่อ คู่สกุลเงินข้าม (Cross-Currency Pairs) คือคู่สกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินหลัก (ยกเว้น USD) จับคู่กันเอง คู่สกุลเงินประเภทนี้มีความนิยมในการซื้อขายรองลงมาจากคู่สกุลเงินหลัก ส่งผลให้มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีความผันผวนของราคาที่สูงกว่าได้ จุดสังเกตที่สำคัญคือคู่สกุลเงินเหล่านี้ จะไม่มีสกุลเงิน USD เป็นส่วนประกอบ ตัวอย่างเช่น
- EUR/GBP (ยูโร / ปอนด์สเตอร์ลิง)
- EUR/JPY (ยูโร / เยนญี่ปุ่น)
- GBP/JPY (ปอนด์สเตอร์ลิง / เยนญี่ปุ่น)
- คู่สกุลเงินนอกกระแส (Exotic Currency Pairs)คู่สกุลเงินนอกกระแส คือคู่สกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินหลักหนึ่งสกุล จับคู่กับสกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economy) คู่สกุลเงินประเภทนี้มี สภาพคล่องในการซื้อขายที่ต่ำมาก และมักมี ความผันผวนของราคาสูง รวมถึงมีค่าสเปรด (Spread) ที่กว้างกว่าคู่สกุลเงินประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนรายย่อยทั่วไป ตัวอย่างเช่น:
-
USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐ / บาทไทย)
-
USD/ZAR (ดอลลาร์สหรัฐ / แรนด์แอฟริกาใต้)
-
USD/TRY (ดอลลาร์สหรัฐ / ลีราตุรกี)
-
EUR/SEK (ยูโร / โครนาสวีเดน)
-
GBP/HKD (ปอนด์สเตอร์ลิง / ดอลลาร์ฮ่องกง)
-
โดยสรุป สินทรัพย์แต่ละประเภทในตลาด Forex มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านสภาพคล่องและความผันผวน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องพิจารณาในการกำหนดกลยุทธ์การเทรด ตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่นิยมการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading) อาจพิจารณาเลือกคู่สกุลเงินที่มีความผันผวนสูง เพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา
แพลตฟอร์มสำคัญที่ใช้ในการเทรด Forex และวิธีการใช้งาน
ก่อนเริ่มต้นการซื้อขาย การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่ใช้ในการส่งคำสั่งซื้อขายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มการซื้อขายให้บริการหลากหลาย โดยแต่ละโบรกเกอร์ (Broker) จะรองรับแพลตฟอร์มที่แตกต่างกันไป ในบทนี้จะนำเสนอแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในระดับสากล 4 แพลตฟอร์ม ดังนี้
รูปที่ 13 รูปภาพแสดงตัวอย่างหน้าตาของ MetaTrader 5 หรือ MT5
- MetaTrader4/5 (MT4/5): MetaTrader ถือเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้บริการ โดยเฉพาะเวอร์ชัน 4 (MT4) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย แพลตฟอร์มนี้สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้อย่างสะดวกผ่านโบรกเกอร์ที่นักลงทุนเปิดบัญชีไว้
ข้อดีของ Metatrader4/5- โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้บริการแพลตฟอร์มนี้
- รองรับการใช้งานทั้งบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) และสมาร์ตโฟน
- มีส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (User Interface) ที่เข้าใจง่าย
- มีอินดิเคเตอร์ (Indicator) พื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจำนวนมาก
- เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถใช้งานได้โดยไม่มีค่าบริการ
- รองรับการทำงานของ Expert Advisors (EA) หรือโรบอตเทรด
- อนุญาตให้ผู้ใช้นำเข้าอินดิเคเตอร์และ EA ที่พัฒนาโดยบุคคลภายนอกได้
- ใช้ภาษา MQL4 และ MQL5 ในการพัฒนาเครื่องมือเสริม
ข้อเสียของ Metatrader4/5
-
- เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์และวาดบนกราฟมีข้อจำกัดด้านความสวยงามและสีสันเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น
- MetaTrader 5 ใช้ทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์สูงกว่า MetaTrader 4
- มีข้อจำกัดในการปรับแต่งรูปลักษณ์ของแพลตฟอร์ม
- ไม่สามารถทำ Copy Trade ได้โดยตรง จำเป็นต้องดำเนินการผ่านบริการของตัวกลาง เช่น โบรกเกอร์ หรือ EA บางประเภท
รูปที่ 14 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่าง user interface ของ cTrader
2. cTrader: cTrader เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยม แม้จะมีจำนวน โบรกเกอร์ที่รองรับน้อยกว่า MetaTrader ก็ตาม แพลตฟอร์มนี้พัฒนาขึ้น โดยบริษัท Spotware และเปิดตัวในช่วงเวลาใกล้เคียงกับ MetaTrader 5
ข้อดีของ cTrader
-
- มีหน้าต่างการใช้งานที่ถูกออกแบบมาให้ดูเรียบง่ายและทันสมัย
- มีระบบ Copy Trade ในตัว ทำให้สามารถคัดลอกกลยุทธ์การเทรดได้โดยตรง
- สามารถใช้งาน Expert Advisors (ที่พัฒนาขึ้นสำหรับ cTrader) ได้
- ใช้ภาษา C# และ cTrader API ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักพัฒนา ข้อดีของ cTrader
ข้อเสียของ cTrader
-
- มีจำนวนผู้ใช้งานน้อยกว่า MetaTrader อย่างมีนัยสำคั
- เนื่องจากมีผู้ใช้งานในประเทศไทยน้อย ทำให้เนื้อหาและคำแนะนำในการใช้งานมีจำกัด
- EA ส่วนใหญ่ในตลาดถูกพัฒนาขึ้นด้วยภาษา MQL4/5 ทำให้มีจำนวน EA สำหรับ cTrader น้อยกว่า
- มีเพียงโบรกเกอร์บางรายเท่านั้นที่ให้บริการแพลตฟอร์ม cTrader
รูปที่ 15 รูปภาพแสดงตัวอย่างหน้าตาของ Ninja Trader
3. Ninja Trader: นินจาเทรดเดอร์ เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ถึงแม้จะไม่ได้ได้รับความนิยมเทียบเท่า MT4/5 แต่กลับสร้างความโดดเด่นผ่านทางข้อมูลของ Volume (ปริมาณการซื้อขาย) ที่เป็นจุดขายของแพลตฟอร์มนี้เลยทีเดียวผ่านทางอินดิเคเตอร์อย่าง Volume Profile แต่ทั้งนี้เนื่องจากไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักจึงคิดว่ารู้พอหอมปากหอมคอคงเพียงพอแล้ว
รูปที่ 16 รูปภาพแสดงตัวอย่างหน้าตาของ Tradingview
4. Tradingview: TradingView ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของ MetaTrader และเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลทั่วโลก ปัจจัยสำคัญคือการออกแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (User Interface) ที่สวยงาม ใช้งานง่าย และมาพร้อมกับคุณสมบัติ (Features) ที่หลากหลายและทรงพลัง นอกจากกลุ่มผู้ใช้งานในตลาด Forex ที่ใช้ TradingView เพื่อการวิเคราะห์กราฟเป็นหลักแล้ว แพลตฟอร์มนี้ยังได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักลงทุนในตลาดอื่น ๆ เช่น ตลาดหุ้น และตลาดสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency)
ข้อดีของ Tradingview
-
- User Interface มีความสวยงาม ทันสมัย และใช้งานง่าย
- มีอินดิเคเตอร์ให้เลือกใช้งานเป็นจำนวนมาก ทั้งแบบมาตรฐานและแบบที่พัฒนาโดยชุมชนผู้ใช้งาน
- ใช้ภาษา Pine Script ซึ่งง่ายต่อการเรียนรู้สำหรับการพัฒนาอินดิเคเตอร์และกลยุทธ์
- เหมาะสำหรับนักวิเคราะห์ทุกรูปแบบและทุกตลาดการเงิน
- มีคุณสมบัติที่หลากหลาย เช่น การทดสอบกลยุทธ์ย้อนหลัง (Backtesting) และเครื่องมือวิเคราะห์ Volume Profile
- สามารถใช้งานได้ทั้งบน PC, สมาร์ตโฟน และผ่านเว็บไซต์โดยตรง
ข้อเสียของ Tradingview
-
- สำหรับบัญชีฟรีใช้งานได้ไม่เต็มรูปแบบ เช่น Backtest ไม่ได้หรือจำกัดจำนวนการใช้งาน Indicator เป็นต้น
- มีค่าใช้จ่ายสูงในบัญชีที่ต้องการใช้งานในรูปแบบเต็ม
- มีโบรกเกอร์น้อยรายที่สามารถซื้อขายผ่าน Tradingview ได้โดยตรง ดังนั้นบางโบรกเกอร์ยังจำเป็นจะต้องซื้อขายผ่าน MT4/5
- บางอินดิเคเตอร์จำเป็นต้องใช้งานในบัญชีที่เสียเงินเช่น อินดิเตอร์ Volume profile เป็นต้น
- ไม่สามารถใช้งาน EA หรือ Indy ที่พัฒนามาจากภาษา MQL4 หรือ MQL5 ได้
จะเห็นได้ว่าแต่ละแพลตฟอร์มมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับความต้องการและกลยุทธ์การเทรดของแต่ละบุคคล นักลงทุนบางรายอาจใช้ TradingView สำหรับการวิเคราะห์กราฟเป็นหลัก แล้วจึงส่งคำสั่งซื้อขายผ่าน MT4/5 ในขณะที่บางรายที่ใช้ EA ในการเทรดอาจเลือกใช้ MT4/5 เป็นแพลตฟอร์มหลัก ดังนั้น การเลือกแพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของตนเองจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด
รวมเทคนิคขั้นพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้นการเทรด Forex
หัวข้อนี้รวบรวมองค์ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่การเป็นเทรดเดอร์ในตลาด Forex เนื้อหาจะครอบคลุมตั้งแต่คำศัพท์ไปจนถึงกลยุทธ์เบื้องต้น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่การวิเคราะห์ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต
ทำความรู้จักกับ Trend (เทรนด์) หรือ พฤติกรรมของกราฟในตลาด Forex
พื้นฐานที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในการเทรด Forex คือความสามารถในการระบุ แนวโน้ม (Trend) ของราคาในปัจจุบัน ซึ่งหมายถึงทิศทางการเคลื่อนที่โดยรวมของราคาในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง การระบุแนวโน้มได้อย่างแม่นยำจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจเข้าสู่ตลาดได้อย่างมีหลักการ โดยแนวโน้มในตลาด Forex สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลัก ดังนี้
รูปที่ 17 รูปภาพตัวอย่างแสดงตัวอย่างการเกิดเทรนทั้ง 3 ประเภท
- Trend (เทรนด์) คือ แนวโน้มของราคาที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาใดๆ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆดังต่อไปนี้
- Up-Trend (เทรนขาขึ้น) คือPattern ที่มีรูปแบบของกราฟมีแนวโน้มที่มีทิศทางไปทางด้านบน หรือมีการสร้างราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ สามารถสังเกตได้จากการตีแนวรับ/แนวต้านเป็นพื้นฐาน หรือดูจาก Swing ของราคาดังนี้
- มีการทำ Higher High หรือ ราคาจุดสูงสุดก่อนหน้า (มีการพยายามทำราคาขึ้นไป)
- มีการทำ Higher Low หรือ ราคาต่ำสุดก่อนหน้ามีการทำราคาขึ้นไป
- Down-Trend (เทรนด์ขาลง) คือสภาวะที่ราคามีการเคลื่อนที่ในทิศทางต่ำลงอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากการที่ราคาสร้าง จุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม (Lower High – LH) และ จุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Lower Low – LL)
- สภาวะตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม (Sideways / Range-bound) คือสภาวะที่ราคามีการเคลื่อนที่ขึ้นลงในกรอบราคาที่จำกัด โดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจน มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีปริมาณการซื้อขายและความผันผวนต่ำ โดยจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคาจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน
- ในแต่ละสวิงของราคาจุดต่ำสุด หรือ จุดสูงสุด จะมีการทำราคาใกล้เคียงกันเสมอ
- มักจะสามารถตีกรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมได้
- Up-Trend (เทรนขาขึ้น) คือPattern ที่มีรูปแบบของกราฟมีแนวโน้มที่มีทิศทางไปทางด้านบน หรือมีการสร้างราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ สามารถสังเกตได้จากการตีแนวรับ/แนวต้านเป็นพื้นฐาน หรือดูจาก Swing ของราคาดังนี้
การทำความเข้าใจสภาวะตลาดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางที่เป็นไปได้ของราคาในอนาคต อย่างไรก็ตาม ราคาไม่ได้เคลื่อนที่ตามแนวโน้มเดิมเสมอไป และมีโอกาสที่จะเกิดการกลับตัว (Reversal) ได้ตลอดเวลา ซึ่งการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในลำดับถัดไป
พื้นฐานการหาแนวรับแนวต้าน Support & Resistance
การกำหนด แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) เป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกคน เนื่องจากเป็นเครื่องมือหลักที่ช่วยในการยืนยันแนวโน้มของตลาด และยังสามารถใช้เป็นจุดอ้างอิงในการพิจารณาโอกาสการกลับตัวของราคาได้อีกด้วย
รูปที่ 18 รูปภาพตัวอย่างการหาแนวรับแนวต้าน Support & Resistance
- แนวรับ (Support) เป็นเส้นแนวนอนที่จะอยู่บริเวณใต้กราฟแท่งเทียนเป็นหลัก ลักษณะในการใช้งานทั่วไปคือเป็นแนวที่ราคามักจะวิ่งลงมาชนและไม่สามารถทะลุลงต่อไปได้ โดยปกติเส้นนี้มักจะมีจุดที่ราคาวิ่งลงมาแตะและเด้งขึ้นไปมากกว่า 2-3 จุดขึ้นไป ซึ่งจะมีหลักการหาง่ายๆดังนี้
- มองหาจุดต่ำสุดของราคา หรือ Swing Low คือให้ทำการมองหาจุดที่ราคาวิ่งจากด้านบนลงมาด้านล่างและทำการเด้งกลับขึ้นไป อย่างน้อย 2-3 จุดขึ้นไป
- ทำการลากเส้นตามแนว จุดต่ำสุด ที่ได้มองไว้ ในการลากเส้นนี้จะให้ทำการลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดที่เรามองไว้ โดยปกติจะถามีลักษณะในแนวทแยงหรือเฉียงจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Up/Down Trend ในขณะเดียวกันหากเป็นเส้นแนวนอนแบบ 180 องศาจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Side Way
- เทคนิคพิเศษ: มักจะมีการตีเส้นผ่าน Lower Low มากกว่า 2 จุดขึ้นไปในกรณีตีแนวรับในเทรนด์ขาลงและใช้เส้นเดียวกันนี้คัดลอกไปวางตำแหน่ง Lower High
- แนวต้าน (Resistance) เป็นเส้นแนวนอนที่จะอยู่บริเวณบนกราฟแท่งเทียนเป็นหลัก ลักษณะในการใช้งานทั่วไปคือเป็นแนวที่ราคามักจะวิ่งขึ้นมาชนและไม่สามารถทะลุลงต่อไปได้ โดยปกติเส้นนี้มักจะมีจุดที่ราคาวิ่งขึ้นมาแตะและเด้งลงไปมากกว่า 2-3 จุดขึ้นไป ซึ่งจะมีหลักการหาง่ายๆดังนี้
- มองหาจุดสูงสุดของราคา หรือ Swing High คือให้ทำการมองหาจุดที่ราคาวิ่งจากด้านล่างขึ้นมาด้านบนและทำการเด้งกลับลงไป อย่างน้อย 2-3 จุดขึ้นไป
- ทำการลากเส้นตามแนว จุดต่ำสุด ที่ได้มองไว้ ในการลากเส้นนี้จะให้ทำการลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดที่เรามองไว้ โดยปกติจะถามีลักษณะในแนวทแยงหรือเฉียงจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Up/Down Trend ในขณะเดียวกันหากเป็นเส้นแนวนอนแบบ 180 องศาจะเป็นการบ่งบองถึงลักษณะ Side Way
- เทคนิคพิเศษ: มักจะมีการตีเส้นผ่าน Higher high มากกว่า 2 จุดขึ้นไปในกรณีตีแนวต้านในเทรนด์ขาขึ้นและและใช้เส้นเดียวกันนี้คัดลอกไปวางตำแหน่ง Higher Low
รูปที่ 19 รูปภาพตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงของเส้น แนวรับกลายเป็นแนวต้าน
- แนวรับและแนวต้านสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่างกันได้: อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น Support & Resistance สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ เช่น แนวต้านเดิมกลายเป็นแนวรับใหม่ หรือ แนวรับใหม่กลายเป็นแนวต้านเดิม และจะพบเห็นในกรณีที่มีการทำราคาทะลุเส้นแนวรับหรือแนวต้านออกไป จนราคา ณ ขณะนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงจากเทรนด์เดิมแต่ก็ยังคงทำราคามาชนเส้นนั้น ๆ และเด้งต่อไป
- การหาแนวรับแนวต้านสามารถหาได้จากวิธีอื่น ๆ แต่ทั้งนี้การหาแนวรับแนวต้านยังมีวิธีการอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคการตีเส้น Fibonacci Retracement เพื่อหาจุดราคาเหมาะสมหรือว่าจะเป็นการใช้อินดิเคเตอร์ อย่างเช่น Moving Average ที่นอกจากจะใช้เป็นแนวรับต้านไปในตัวได้แล้ว ยังประยุกต์ใช้ในการระบุเทรนด์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
รูปที่ 20 รูปภาพตัวอย่างการเกิด Break of Structure และ Change of Character
- จะรู้ได้อย่างไรว่าเทรนด์นั้นจะไปต่อหรือพอแค่นี้? จากเนื้อหาข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่กราฟมีราคาหลุดออกจากโซนแนวรับหรือแนวต้านไปแล้วนั้นก็อาจจะหมายความว่ามีโอกาสที่เทรนด์นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ยังสามารถสังเกตได้อีก 2 ประเด็นและเป็น 2 คำศัพท์ที่ควรรู้ ดังนี้
- BOS หรือ Break of Structure: การที่ราคายังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางของแนวโน้มเดิม โดยสร้างจุดสูงสุดใหม่ (ในแนวโน้มขาขึ้น) หรือจุดต่ำสุดใหม่ (ในแนวโน้มขาลง) ได้สำเร็จ เป็นการยืนยันว่าแนวโน้มเดิมยังคงแข็งแกร่งและมีโอกาสดำเนินต่อไป
- Choch หรือ Change of Character:การที่ราคาไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ในแนวโน้มขาขึ้น หรือไม่สามารถสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในแนวโน้มขาลงได้ และกลับตัวทะลุผ่านจุด Swing ที่สำคัญของโครงสร้างราคาก่อนหน้า ซึ่งเป็นสัญญาณแรกที่บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่แนวโน้มอาจมีการเปลี่ยนแปลง
จากพื้นฐานที่ได้กล่าวไปด้านบนจะเป็นพื้นฐานหลักในการมองหาได้ทั้งจุดกลับตัว และความสามารถในการระบุเทรนด์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย จึงทำให้เราสามารถคาดการ์ณในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ด้วยแนวรับ-แนวต้านเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องใช้องค์ความรู้อื่นประกอบการตัดสินใจ เช่น การวิเคราะห์รูปแบบของแท่งเทียน
การมองหารูปแบบกราฟแท่งเทียน Price Action
การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน หรือ Price Action เป็นการศึกษาพฤติกรรมของราคาผ่านรูปแบบของแท่งเทียน เพื่อคาดการณ์ทิศทางของราคาในอนาคต นักวิเคราะห์ทางเทคนิคได้รวบรวมรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) ที่มีนัยสำคัญทางสถิติว่า เมื่อเกิดรูปแบบลักษณะดังกล่าวแล้ว ราคามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
บทความนี้ขอนำเสนอ 5 รูปแบบ Price Action ที่พบได้บ่อยและได้รับการยอมรับในด้านความน่าเชื่อถือ
รูปที่ 21 รูปภาพตัวอย่างการเกิด Price Action ยอดนิยมทั้ง 5 รูปแบบซึ่งประกอบไปด้วย Harami, Star, Doji Star, Engulfing และ Inverted Hammer & Shooting Star
- Harami สามารถแบ่งได้เป็น 2 คือ
- Bullish Harami: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง ประกอบด้วยแท่งเทียนสีแดงยาว ตามด้วยแท่งเทียนสีเขียวสั้นที่อยู่ภายในกรอบของแท่งแรก บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เริ่มเข้ามาและอาจเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- Bearish Harami: เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยแท่งเทียนสีเขียวยาว ตามด้วยแท่งเทียนสีแดงสั้นที่อยู่ภายในกรอบของแท่งแรก บ่งชี้ถึงแรงขายที่เริ่มเข้ามาและอาจเกิดการกลับตัวเป็นขาลง
- Star หนึ่งในรูปแบบที่มีความนิยมใช้ในการหาจุดกลับตัวอีกหนึ่งตัวแบ่งออกเป็น Morning Star และ Evening Star ซึ่งจะเป็นเปรียบเทียบกันของแท่งเทียน 3 แท่ง โดยที่จะมีรายละเอียดดังนี้
- Morning Star: เกิดในแนวโน้มขาลง ประกอบด้วยแท่งแดงยาว, แท่งเทียนลำตัวสั้น (สีใดก็ได้) ที่เปิด Gap ต่ำลงมา, และแท่งเขียวยาวที่ปิดราคาสูงกว่าครึ่งหนึ่งของแท่งแรก เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- Evening Star: เกิดในแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยแท่งเขียวยาว, แท่งเทียนลำตัวสั้น (สีใดก็ได้) ที่เปิด Gap สูงขึ้นไป, และแท่งแดงยาวที่ปิดราคาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของแท่งแรก เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง
- Doji Star มีลักษณะคล้ายกับรูปแบบ Star แต่แท่งเทียนที่สองจะเป็นแท่ง Doji (ลักษณะคล้ายเครื่องหมายบวก) ซึ่งสะท้อนถึงความลังเลของตลาดอย่างชัดเจน และถือเป็นสัญญาณการกลับตัวที่มีนัยสำคัญ
- Morning Doji Star: แท่งแรกมีสีแดงและลำตัวยาว โดยแท่งถัดมาจะมีลักษณะเป็น Doji ลำตัวสั้น (เป็นกราฟเหมือนเครื่องหมายบวก +) ราคาสูงสุดจะอยู่ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนแรก โดยแท่งสุดท้ายจะต้องเป็นแท่งสีเขียวและลำตัวยาวราคาเปิดต้องอยู่สูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งเทียนที่สอง และ ราคาปิดสูงกว่าครึ่งหนึ่งของลำตัวแท่งเทียนที่หนึ่ง
- Evening Doji Star: แท่งแรกมีสีเขียวและลำตัวยาว โดยแท่งถัดมาจะมีลักษณะเป็น Doji ลำตัวสั้น (เป็นกราฟเหมือนเครื่องหมายบวก +) ราคาต่ำสุดจะอยู่สูงกว่าราคาปิดของแท่งเทียนแรก โดยแท่งสุดท้ายจะต้องเป็นแท่งสีแดงและลำตัวยาวราคาเปิดต้องอยู่ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่สอง และ ราคาปิดต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของลำตัวแท่งเทียนที่หนึ่ง
- Engulfing หนึ่งในรูปแบบที่นิยม และหากดูผิวเผินจะพบว่ามีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Harami เพียงแต่จะสลับตำแหน่งกัน โดยจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- Bullish Engulfing: เกิดในแนวโน้มขาลง ประกอบด้วยแท่งแดง ตามด้วยแท่งเขียวที่มีลำตัวยาวกว่าและกลืนกินแท่งแดงก่อนหน้าทั้งหมด บ่งชี้ถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างมหาศาล
- Bearish Engulfing: เกิดในแนวโน้มขาขึ้น ประกอบด้วยแท่งเขียว ตามด้วยแท่งแดงที่มีลำตัวยาวกว่าและกลืนกินแท่งเขียวก่อนหน้าทั้งหมด บ่งชี้ถึงแรงขายที่เข้ามาอย่างรุนแรง
- Inverted Hammer และ Shooting Star ทั้งสองจะเป็นหนึ่งในรูปแบบยอดฮิตและมีลักษณะเหมือนค้อน ที่มีด้ามค้อนที่ยาวและมีหัวค้อนที่สั้น ซึ่งจะมีประโยชน์และรายละเอียดการใช้งานดังต่อไปนี้
- Inverted Hammer: เกิดขึ้นบริเวณจุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง เป็นสัญญาณเตือนถึงโอกาสในการกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal)
- Shooting Star: เกิดขึ้นบริเวณจุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น เป็นสัญญาณเตือนถึงโอกาสในการกลับตัวเป็นขาลง (Bearish Reversal)
การทำความเข้าใจองค์ประกอบของแท่งเทียนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคาดการณ์ความน่าจะเป็นของราคาในอนาคต อย่างไรก็ตาม ไม่มีรูปแบบใดที่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ 100% จึงควรใช้เป็นเพียงเครื่องมือประกอบการตัดสินใจร่วมกับการวิเคราะห์ด้านอื่น ๆ
พื้นฐานการวิเคราะห์ด้วย Chart Pattern Analysis เบื้องต้น
การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ (Chart Pattern) เป็นเทคนิคที่ต่อยอดมาจากการกำหนดแนวรับ-แนวต้าน โดยเป็นการพิจารณารูปทรงของกราฟราคาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซึ่งตามหลักความเป็นจริงเราจะพบว่า ในหลายๆสถานการ์ณที่พอเราตีเส้นออกมาแล้วพบว่ามันไม่ได้เป็นรูปแบบเส้นที่ขนานกันเสมอไป แต่มันกลับเป็นลักษะที่แปลกแตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็นการตีเส้นออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือ สี่เหลี่ยม เป็นต้น
รูปที่ 22 รูปภาพที่รวบรวม Chart Pattern ยอดนิยมไว้ใช้สำหรับมองหา pattern ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อมองหาจุดกับตัวหรือความต่อเนื่องของเทรนด์ในอนาคต (ขอขอบคุณรูปภาพจาก forex-awards.com)
วิธีการมองหาประเภท Chart Pattern
- พยายามจินตนาการว่ารูปร่างของกราฟแท่งเทียนตรงกับรูปภาพใดบนรูปตัวอย่างมากที่สุด
- มองให้ออกว่ากราฟนั้นจะบ่งบอกเราในเรื่องใด เช่น การกลับตัว หรือ การบอกเทรนด์ต่อที่เนื่อง
- วาดเส้นแนวรับแนวต้านออกมาให้คล้ายคลึงกับ Chart Pattern ที่ใกล้เคียงมากที่สุด
- ให้ทำการรอจนกว่ากราฟราคาจะทำรูปแบบใกล้เคียงกับ Chart Pattern มากที่สุด
- เมื่อกราฟราคาทำรูปแบบตาม Chart Pattern ดังรูปที่จินตนาการไว้และ เมื่อมายังจุดแนวรับแนวต้านให้ก็ให้ทำการพิจารณาการออกออเดอร์ เข้าเทรดตามทิศทางที่รูปแบบนั้นปรากฏ
เนื่องจาก Chart Pattern เป็นหัวข้อที่มีรายละเอียดเชิงลึกและมีความแตกต่างกันในแต่ละรูปแบบ บทความนี้จึงนำเสนอเพียงหลักการเบื้องต้นเพื่อให้นักลงทุนสามารถนำไปศึกษาต่อยอดได้ที่ Chart Patterns คืออะไร? สรุปในทุกแง่มุม
ทำความรู้จักความสามารถของเครื่องมือช่วยเทรด (Indicators)
อินดิเคเตอร์ (Indicator) คือเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของราคา โดยส่วนใหญ่มักจะคำนวณจากข้อมูลราคาในอดีต (เช่น ราคาเปิด, ปิด, สูงสุด, ต่ำสุด) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มหรือโมเมนตัมของราคาในอนาคต อินดิเคเตอร์แต่ละชนิดมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รูปที่ 23 ตัวอย่างการแสดงผลของอินดิเคเตอร์ Moving Average (MA) และ Relative Strength Index (RSI) บนแพลตฟอร์ม Tradingview
- Moving Average (MA): เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Trend-Following ที่คำนวณค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ใช้สำหรับระบุทิศทางของแนวโน้มและใช้เป็นแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิก (Dynamic Support & Resistance)
- Relative Strength Index (RSI): เป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา โดยจะแสดงค่าระหว่าง 0 ถึง 100 เพื่อบ่งชี้สภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งมักจะอยู่เหนือระดับ 70 และสภาวะ ขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งมักจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 30 ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวของราคา
- Average True Range (ATR): เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดระดับ ความผันผวน (Volatility) ของตลาดโดยเฉลี่ย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารความเสี่ยง เช่น การกำหนดระยะของจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
อินดิเคเตอร์เป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ที่มีประโยชน์ แต่ไม่มีความแม่นยำ 100% ควรศึกษาหลักการทำงานและวิธีการใช้งานของแต่ละตัวให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และใช้ร่วมกับเทคนิคการวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ
Forex Factory วิเคราะห์ข่าวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อราคาของคู่เงินโดยตรง
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสกุลเงินโดยตรง เนื่องจากนักลงทุนทำการซื้อขายคู่สกุลเงิน เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศเจ้าของสกุลเงินนั้น ๆ จึงมีอิทธิพลอย่างสูงต่ออุปสงค์และอุปทานของสกุลเงิน Forex Factory เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการติดตามปฏิทินข่าวเศรษฐกิจ (Economic Calendar)
รูปที่ 24 ตัวอย่างการใช้งาน Forex Factory วิเคราะห์ข่าวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อราคาของคู่เงินโดยตรง
- Forex Factory จะรายงานกำหนดการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีการจัดลำดับความสำคัญของข่าวตามผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับตลาด ซึ่งแบ่งตามสี ดังนี้:
- Impact สีเทา (Non-Economic): วันหยุดธนาคาร
- Impact สีเหลือง (Low Impact): คาดว่ามีผลกระทบน้อย
- Impact สีส้ม (Medium Impact): คาดว่ามีผลกระทบปานกลาง
- Impact สีแดง (High Impact): คาดว่ามีผลกระทบสูงมาก
- ประเภทข่าวที่มีผลกระทบสูง (High Impact) ข่าวประเภทนี้มักทำให้เกิดความผันผวนของราคาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว นักลงทุนควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ:
- การประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest Rate Decision) เช่น Federal Funds Rate ของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินนโยบายการเงิน
- อัตราการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls – NFP) เป็นตัวเลขการจ้างงานที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนถึงสุขภาพของเศรษฐกิจโดยรวม
- ดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product – GDP) เป็นตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม
- ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI) เป็นตัวชี้วัดสำคัญของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจด้านอัตราดอกเบี้ย
- การแถลงการณ์ของประธานธนาคารกลาง (Central Bank Chair Speaks) เช่น การแถลงการณ์ของประธาน Fed ซึ่งสามารถส่งสัญญาณทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต
ประเภทข่าวที่มีผลกระทบปานกลาง (Medium Impact) ข่าวประเภทนี้ยังคงมีความสำคัญและสามารถสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตัวเลขที่ประกาศออกมาแตกต่างจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ:
- รายงานจำนวนคนยื่นขอรับสวัสดิการว่างงาน (Unemployment Claims) เป็นตัวชี้วัดตลาดแรงงานที่ประกาศเป็นรายสัปดาห์
- รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CB Consumer Confidence) วัดระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายในอนาคต
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Flash Manufacturing PMI) เป็นตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิต
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (Flash Services PMI) เป็นตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ตัวอย่างการตีความผลกระทบของข่าว
สมมติว่ามีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา (USD) ซึ่งเป็นข่าวที่มีผลกระทบสูง (กล่องสีแดง) หากนักลงทุนกำลังเทรดคู่เงิน EUR/USD:
- หากตัวเลขที่ประกาศจริง (Actual) ดีกว่า ที่ตลาดคาดการณ์ (Forecast): จะส่งผลให้สกุลเงิน USD แข็งค่าขึ้น และทำให้ราคาของ EUR/USD มีแนวโน้ม ปรับตัวลดลง
- หากตัวเลขที่ประกาศจริง (Actual) แย่กว่า ที่ตลาดคาดการณ์ (Forecast): จะส่งผลให้สกุลเงิน USD อ่อนค่าลง และทำให้ราคาของ EUR/USD มีแนวโน้ม ปรับตัวสูงขึ้น
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นฐานของ Broker Forex และการคัดกรอง
โบรกเกอร์ (Broker) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยไปยัง ผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Provider) ซึ่งจะจับคู่คำสั่งซื้อขายและส่งต่อไปยังตลาดกลาง Forex ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
รูปที่ 25 ตัวอย่างเส้นทางดำเนินการในการส่งสัญญาณซื้อขายของเทรดเดอร์จนไปถึงปลายทางของตลาด Forex
- บทบาทของ Broker Forex:
- โบรกเกอร์ Forex ช่วยส่งคำสั่งซื้อขายของเทรดเดอร์ไปยังผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Provider) และเข้าสู่ตลาด Forex
- โบรกเกอร์จะได้ค่าบริการได้จาก 2 แหล่งหลักๆคือค่า spread และ commission
- ประเภทของโบรกเกอร์:
- No Dealing Desk (NDD) หรือ A-Book: โบรกเกอร์ประเภทนี้จะส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าเข้าสู่ตลาดโดยตรง เพื่อจับคู่กับราคาที่ดีที่สุดจากผู้ให้บริการสภาพคล่อง การส่งคำสั่งมักเป็นแบบ Market Execution ซึ่งหมายถึงคำสั่งจะถูกดำเนินการที่ราคาตลาดที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้น แต่อาจเกิดความคลาดเคลื่อนของราคา (Slippage) ได้ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง
- Dealing Desk (DD) หรือ B-Book: โบรกเกอร์ประเภทนี้จะทำหน้าที่เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับลูกค้า (รับความเสี่ยงไว้เอง) การส่งคำสั่งมักเป็นแบบ Instant Execution ซึ่งหมายถึงคำสั่งจะถูกดำเนินการ ณ ราคาที่ลูกค้าเห็นทันที แต่ก็มีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธคำสั่ง (Requote) หากราคาในตลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
- Hybrid Model: โบรกเกอร์ที่ใช้ทั้ง A-book และ B-book ขึ้นอยู่กับสถานการ์ณและนโยบายภายในของโบรกเกอร์นั้น ๆ
- หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์:
- Commission: เปรียบเทียบค่าคอมมิชชั่นระหว่างโบรกเกอร์
- Spread: ค่า Spread มีผลต่อการทำกำไร ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าน้อย
- Swap: ค่าธรรมเนียมการถือครองออเดอร์ข้ามคืน มีทั้งบวกและลบ
- การฝากถอนเงิน: ตรวจสอบความสะดวกและรวดเร็วในการฝากถอนเงิน
- License: ใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อความน่าเชื่อถือเช่น (FCA, ASIC, CySEC, NFA) เป็นต้น
- ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์: ตรวจสอบผ่านทางเว็บรีวิวโบรกเกอร์ในไทยหรือตามแพลตฟอร์มรีวิวที่เชื่อถือได้
- บริการลูกค้า: สามารถติดต่อสอบถามแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว
แนะนำ จัดอันดับโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดแห่งปี ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งความน่าเชื่อถือ ฝากถอนรวดเร็ว ต้นทุนการเทรด และคุณภาพการบริการ
บทสรุป
เนื้อหาที่นำเสนอทั้งหมดนี้เป็นองค์ความรู้พื้นฐานที่ครอบคลุมตั้งแต่แนวคิดเริ่มต้นของตลาด Forex คำศัพท์ที่จำเป็น ไปจนถึงกลยุทธ์และเทคนิคการวิเคราะห์เบื้องต้น รวมถึงการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเลือกใช้ตัวกลางในการซื้อขายอย่างโบรกเกอร์
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ความรู้และกลยุทธ์ในโลกของการเทรดนั้นไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว เทคนิคที่เหมาะสมกับนักลงทุนคนหนึ่งอาจไม่เหมาะสมกับอีกคนหนึ่งก็ได้ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นรากฐานที่มั่นคงและสมบูรณ์ ที่จะช่วยให้ท่านสามารถนำความรู้ไปต่อยอดในวงการ Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
อ้างอิง
- [1] https://www.forbes.com/advisor/investing/what-is-forex-trading/
- [2] https://www.plus500.com/en-au/tradingacademy/tradersguide/what-is-cfd-trading~1
- [3] https://www.babypips.com/learn/forex/forex-market-structure
- [4] https://phantomtradingfx.com/productivity/forex-market-hours-and-sessions/
- [5] https://www.babypips.com/learn/forex/lots-leverage-and-profit-and-loss
- [6] https://www.babypips.com/learn/forex/pips-and-pipettes
- [7] https://www.forbes.com/advisor/investing/what-is-leverage/
- [8] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-account-balance
- [9] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-equity
- [10] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-margin
- [11] https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-margin-level
- [12] https://www.babypips.com/learn/forex/types-of-orders
- [13] https://www.litefinance.org/blog/for-beginners/what-is-forex/what-is-drawdown-in-trading
- [14] https://en.wikipedia.org/wiki/Candlestick_chart
- [15] https://www.litefinance.org/blog/for-beginners/what-is-forex/major-currency-pairs/
- [16] https://www.babypips.com/learn/forex/trend-lines
- [17] https://www.babypips.com/learn/forex/support-and-resistance
- [18] https://www.babypips.com/forexpedia/category/price-action
- [19] https://www.forex-awards.com/forex-columns/?id=25522
- [20] https://www.investopedia.com/articles/forex/10/indicators-fx-traders-must-know.asp
- [21] https://www.investopedia.com/terms/forex/c/currency-trading-forex-brokers.asp