Backtest คืออะไร และทำไมเทรดเดอร์ต้องใช้
- การ Backtest คือการทดสอบกลยุทธ์เทรดย้อนหลังกับข้อมูลในอดีต เพื่อดูว่ากลยุทธ์นั้นทำงานได้ดีแค่ไหน
- จุดประสงค์หลักคือช่วยประเมินว่ากลยุทธ์จะทำกำไรหรือไม่ ถ้าใช้ในตลาดจริง
- ตัวอย่างเช่น ถ้าใช้ กลยุทธ์ Breakout แล้วเอาไปลองดูย้อนหลัง 6 เดือน พบว่ามีโอกาสเข้าออเดอร์หลอกหลายครั้ง ก็จะรู้ว่าอาจต้องเพิ่มตัวกรองก่อนใช้จริง
- ช่วย ลดความเสี่ยงจากการเข้าเทรดแบบไม่มั่นใจ เพราะรู้มาก่อนว่ากลยุทธ์เคยผ่านตลาดแบบไหนมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ไม่กลัวการเทรดแบบ กลัวตกรถ
- ยังช่วยฝึกวินัยด้วย เพราะต้องทำตามกฎกลยุทธ์แบบชัดเจน
ประเภทของการ Backtest
Manual Backtest (แบบใช้มือ)
- ใช้วิธีเปิดกราฟย้อนหลัง แล้วเลื่อนทีละแท่งเช็คว่าเข้าเงื่อนไขเทรดหรือไม่
- เหมาะกับกลยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อน เช่น เทรดจาก Price Action หรืออินดิเคเตอร์ไม่เยอะ
- ข้อดีคือได้ฝึกดูกราฟและเข้าใจตลาดมากขึ้น
- ข้อเสียคือใช้เวลานานและมีโอกาส bias เพราะสามารถรู้ผล แท่งเทียน ล่วงหน้าได้
Automated Backtest (แบบใช้โปรแกรม)
- ใช้ซอฟต์แวร์หรือเขียนโค้ดช่วยให้ระบบเทรดวิ่งบนข้อมูลย้อนหลัง
- เหมาะกับกลยุทธ์ที่มีกฎชัดเจน เช่น EMA crossover, RSI ต่ำกว่า 30 เป็นต้น
- ข้อดีคือเร็วและแม่นยำ
- ข้อเสียคือถ้าเขียนโค้ดไม่ถูก หรือเงื่อนไขไม่สมจริง อาจได้ผลลัพธ์หลอก
กราฟเกิดแรงลงรุนแรง และ ทำ Price Action ว่าสัญญาณ Sell, 2-ต่อมากราฟได้ลากลงไปจริง ๆ ตามแผน สัญญาณ 3.เมื่อ Price Action แท่งต่อ ๆ ไป เริ่มทำ Hammer แล้วก็แสดงว่าแรงลงหมดแล้วจะต้องกลับหน้าเทรดเป็นฝั่ง Buy แทน
เตรียมข้อมูลก่อนเริ่ม Backtest
- เลือก คู่เงิน ที่ต้องการทดสอบ เช่น EUR/USD, GBP/JPY หรือคู่ที่ใช้ประจำ
- กำหนด Timeframe ให้ชัด เช่น M15, H1, H4 ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์
- เลือกช่วงเวลาทดสอบย้อนหลัง เช่น 1 ปี, 6 เดือน หรือช่วงที่มีข่าวสำคัญ
- ตรวจสอบว่าข้อมูลราคามีความสมบูรณ์ ไม่มีรูโหว่ เช่น แท่งเทียนหาย หรือราคากระโดด
- ถ้าใช้ MT4 /MT5 ให้โหลด Historical Data มาให้ครบก่อนเริ่ม
วิธี Backtest ด้วยมือแบบง่าย ๆ (Manual Backtest)
- เปิดกราฟ คู่เงิน และ Timeframe ที่ต้องการ
- กดเลื่อนแท่งเทียนทีละแท่ง (ใน MT4 ใช้ปุ่ม F12)
- เมื่อเจอแท่งที่เข้าเงื่อนไขกลยุทธ์ เช่น เทรนขาขึ้น + รูปแบบแท่งเทียน Hammer
- ให้บันทึกว่า “เข้าออเดอร์ที่ราคาเท่านี้ จุดออกกำไร/ขาดทุนอยู่ตรงนี้”
- กดเลื่อนไปจนถึงจุดที่ราคาถึง TP หรือ SL แล้วบันทึกผล
- ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อย ๆ จนครบช่วงเวลา
- หลังจบให้สรุปผลว่าได้กี่ไม้ ชนะกี่ครั้ง แพ้กี่ครั้ง
วิธีใช้โปรแกรมช่วย Backtest เช่น MT4/MT5 และ TradingView
MT4/MT5
- ใช้ Strategy Tester สำหรับ EA หรือใช้ Script เรียกข้อมูลย้อนหลัง
- สำหรับเทรดมือ สามารถใช้ปุ่ม F12 เลื่อนแท่งทีละอัน
- ถ้าใช้ EA ต้องแน่ใจว่ากำหนดค่าถูก เช่น Lot, SL/TP, เงื่อนไขเข้าออก
TradingView
- ใช้ Bar Replay เพื่อลากกราฟย้อนหลังแล้วเล่นทีละแท่ง
- ใช้งานง่าย เหมาะกับกลยุทธ์สายดูแท่งเทียนหรืออินดิเคเตอร์เบา ๆ
- ยังสามารถจดผลและแคปภาพแต่ละไม้เก็บไว้เทียบตอนปรับปรุงกลยุทธ์
กราฟมีการทิ้งตัวลงมาแรง ณ จุดสูงสุดของราคา 2 ก่อนจะเลื่อนไปเจออีกแท่งที่ลงมาแรงเช่นกัน ดังนั้นนี่คือขาลงตามภาพ 3 – 4 และ 5 โดยหากเทรดฝั่ง Sell จะได้เปรียบมากกว่า
กำหนดเงื่อนไขกลยุทธ์ก่อน Backtest
- เขียนเงื่อนไขให้ชัดเจนก่อนเริ่ม เช่น
- เข้าซื้อเมื่อ EMA 20 ตัด EMA 50 ขึ้น + RSI อยู่เหนือ 50
- TP = 2 เท่าของ SL, SL 20 จุด
- ห้ามเปลี่ยนกฎระหว่าง Backtest ไม่งั้นผลจะไม่น่าเชื่อถือ
- ถ้ามีเงื่อนไขหลายข้อ ต้องเรียงลำดับก่อน-หลังให้ชัด เช่น อินดิเคเตอร์ ผ่านก่อน แล้วดูแท่งเทียนคอนเฟิร์ม
- กลยุทธ์ที่เขียนชัดเจนจะช่วยให้ Backtest ได้ผลใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
เก็บข้อมูลผลลัพธ์ Win Rate และ Risk:Reward
- สร้างตารางจดข้อมูล เช่น
- วันที่, เวลา, คู่เงิน, ราคาเข้า, SL, TP, ผลลัพธ์, เหตุผลเข้าออเดอร์
- คำนวณ Win Rate = จำนวนไม้ที่ชนะ ÷ จำนวนทั้งหมด
- หาค่าเฉลี่ย Risk: Reward จากแต่ละไม้ เช่น 1:2, 1:1.5
- วิเคราะห์กำไรรวม เช่น ชนะ 30 ไม้ แพ้ 20 ไม้ แต่ RR เท่ากับ 1:2 ก็ยังได้กำไร
- ข้อมูลเหล่านี้สำคัญมากเวลาเอาไปปรับกลยุทธ์ในอนาคต
วิเคราะห์ผลลัพธ์จาก Backtest เพื่อพัฒนากลยุทธ์
- ดูว่าแพ้ตรงไหนซ้ำ ๆ เช่น เจอเทรนด์ไซด์เวย์แล้วกลยุทธ์หลุด
- เช็กว่าต้องเพิ่มตัวกรองหรือลดความถี่ของสัญญาณไหม
- ตัวอย่างเช่น ถ้าสัญญาณเยอะเกินไป แต่คุณภาพต่ำ อาจต้องกรองด้วย Volume หรือ Time Filter
- หาจุดที่เข้าเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป แล้วลองปรับเล็กน้อย
- เป้าหมายไม่ใช่ให้ชนะทุกไม้ แต่ให้มั่นใจได้ว่าในระยะยาวกลยุทธ์นี้อยู่รอด
ข้อควรระวังและกับดักของการ Backtest
- อย่าลืมว่า “ผลในอดีตไม่การันตีอนาคต”
- อย่าปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับกราฟย้อนหลังมากเกินไป (Overfitting)
- ถ้า Backtest แล้วได้ผลสวยเกินไป ต้องเช็กซ้ำอีกครั้งว่าตั้งค่าถูกไหม
- ควร Backtest ในช่วงเวลาหลากหลาย ทั้งตอนมีข่าว, เทรนด์แรง, ตลาดนิ่ง
- อย่าลืมว่าสภาพจิตใจเวลาเทรดจริงต่างจากตอน Backtest
จากภาพหมายเลข 1 จะเห็นได้ว่า กราฟเกิด Doji ก่อนจะทำ Bullish Engulfing และเมื่อรอกราฟย่อลงมาเพื่อเข้าฝั่ง Buy จะได้เปรียบก่อนจะไปเก็บกำไรด้านบน
ตัวอย่างการทำ Backtest แบบเป็นขั้นตอน เข้าใจง่าย
ตัวอย่าง 1 “EMA 20 ตัด EMA 50”
Backtest กลยุทธ์ “EMA 20 ตัด EMA 50” บนกราฟ EUR/USD Timeframe 1 ชั่วโมง
ขั้นตอนที่ 1: เขียนกฎกลยุทธ์ให้ชัดเจนก่อน
- เข้า Buy เมื่อ: EMA 20 ตัดขึ้น EMA 50 และราคาปิดเหนือเส้นทั้งสอง
- เข้า Sell เมื่อ: EMA 20 ตัดลง EMA 50 และราคาปิดต่ำกว่าเส้นทั้งสอง
- Stop Loss: 30 pips
- Take Profit: 60 pips (RR = 1:2)
- เทรดเฉพาะช่วงตลาดยุโรป (14:00 – 22:00 เวลาไทย)
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมเครื่องมือ
- เปิด MT4 หรือ TradingView
- เลือกกราฟ EUR/USD
- ตั้ง Timeframe เป็น 1 ชั่วโมง
- ใส่อินดิเคเตอร์ EMA 20 และ EMA 50
- ใช้ปุ่ม F12 (ใน MT4) หรือ Bar Replay (ใน TradingView) เพื่อเลื่อนกราฟทีละแท่ง
ขั้นตอนที่ 3: เริ่มเลื่อนกราฟย้อนหลัง
- เริ่มจากวันที่ 1 มกราคม 2024
- เลื่อนแท่งเทียนไปเรื่อย ๆ ทีละแท่ง จนเจอสัญญาณเข้าเทรดตามกฎ
ตัวอย่างเหตุการณ์:
- วันที่ 5 ม.ค. 2024 เวลา 16:00
- EMA 20 ตัดขึ้น EMA 50 และราคาปิดเหนือทั้งสองเส้น
- เข้า Buy ที่ราคา 1.0900
- ตั้ง SL ที่ 1.0870 และ TP ที่ 1.0960
- เลื่อนแท่งต่อไปเรื่อย ๆ จนราคาขึ้นไปถึง 1.0960
- จดบันทึกผลว่า “ชนะ”
ขั้นตอนที่ 4: จดข้อมูลลงในตาราง
วันที่เข้า | เวลา | ประเภท | ราคาเข้า | SL | TP | ผลลัพธ์ | เหตุผลเข้าออเดอร์ |
---|---|---|---|---|---|---|---|
5 ม.ค. | 16:00 | Buy | 1.09 | 1.087 | 1.096 | ชนะ | EMA 20 ตัดขึ้น EMA 50 |
ขั้นตอนที่ 5: ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ
- ทำแบบนี้ไปจนจบช่วงที่เลือก (เช่น ย้อนหลัง 2 เดือน)
- รวมสถิติว่าทั้งหมดมีกี่ไม้
- ชนะกี่ไม้ แพ้กี่ไม้
- คำนวณ Win Rate และกำไรรวม
ขั้นตอนที่ 6: วิเคราะห์ผล
- ถ้าได้ Win Rate 60% RR 1:2 ก็ถือว่าใช้ได้
- ถ้าชนะน้อย แต่อัตราส่วนกำไรขาดทุนสูง ก็ยังมีกำไร
- ดูว่าช่วงไหนแพ้เยอะ เช่น ตลาดไม่เป็นเทรนด์ จะได้หาวิธีหลีกเลี่ยง
ภาพเผยถึงข้อควรระวังของการทำ Backtest ต้องบอกเลยว่าต้องตรวจสอบช่วงเวลาในการทำให้ดี ทั้งตอนข่าว หรือ กราฟนิ่ง แต่ก็อย่าลืมว่าไม่ได้การันตี 100% ว่ากราฟจะไปทางใด ที่สำคัญ สภาพจิตใจตอนเป็นพอร์ตจริง หรือ เงินจริงคงจะมีผลต่อสภาพจิตใจ
ตัวอย่าง 2 “Pin Bar ที่แนวรับแนวต้าน”
Backtest กลยุทธ์ “Pin Bar ที่แนวรับแนวต้าน” บนกราฟ GBP/USD Timeframe 4 ชั่วโมง
ขั้นตอนที่ 1: ตั้งกฎของกลยุทธ์ให้ชัดเจน
- เข้า Buy เมื่อเกิด Pin Bar แบบ bullish ที่บริเวณแนวรับชัดเจน
- เข้า Sell เมื่อเกิด Pin Bar แบบ bearish ที่แนวต้าน
- Pin Bar ต้องมีไส้เทียนยาว และตัวแท่งเล็ก อยู่ตรงปลายสุดของการเคลื่อนไหว
- Stop Loss = ต่ำกว่าหรือสูงกว่าไส้เทียน 10 จุด
- Take Profit = 2 เท่าของ Stop Loss
- เทรดเฉพาะช่วงที่ตลาดชัดเจน ไม่ใช่ช่วงข่าวแรง หรือช่วงตลาดนิ่ง
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมเครื่องมือ
- เปิดกราฟ GBP/USD
- เลือก Timeframe 4 ชั่วโมง
- วาดแนวรับแนวต้านหลัก ๆ จากกราฟย้อนหลัง (อิง High/Low เด่น ๆ)
- ใช้ TradingView หรือ MT4 แล้วเปิด Bar Replay หรือเลื่อนด้วย F12
ขั้นตอนที่ 3: เริ่มเลื่อนกราฟย้อนหลังทีละแท่ง
เหตุการณ์ตัวอย่าง:
- วันที่ 12 มีนาคม 2024 เวลา 08:00
- ราคาลงมาชนแนวรับที่ 1.2600 และเกิดแท่งเทียนลักษณะ Pin Bar (ไส้ยาวลง ลำตัวเล็ก อยู่ด้านบน)
- ตัดสินใจเข้า Buy ที่ราคาปิด 1.2610
- วาง SL ไว้ที่ 1.2580 และ TP ที่ 1.2670
- กดเลื่อนกราฟต่อทีละแท่ง พบว่าราคาขึ้นไปชน TP ในอีก 5 แท่ง
- จดบันทึกว่า “ชนะ”
ขั้นตอนที่ 4: จดข้อมูลลงในตาราง Backtest
วันที่เข้า | เวลา | ประเภท | ราคาเข้า | SL | TP | ผลลัพธ์ | เหตุผลเข้าออเดอร์ |
---|---|---|---|---|---|---|---|
12 มี.ค. | 8:00 | Buy | 1.261 | 1.258 | 1.267 | ชนะ | Pin Bar ที่แนวรับ 1.2600 |
ขั้นตอนที่ 5: ทำซ้ำหลาย ๆ ไม้
- ไล่กราฟย้อนหลัง 2-3 เดือน หาสัญญาณตามเงื่อนไขเดิม
- จดทุกรายการ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้
- คำนวณผลรวม Win Rate และ Risk: Reward
- วิเคราะห์ว่าชนะในลักษณะแบบไหน แพ้เพราะอะไร
- เช่น บางครั้งเข้าเทรดในช่วงที่ไม่มี Volume ตลาดนิ่ง เลยโดน SL ง่าย
ขั้นตอนที่ 6: วิเคราะห์และปรับกลยุทธ์
- พบว่าเมื่อเกิด Pin Bar พร้อมแท่งเทียนก่อนหน้าที่มี Volume สูง มักได้ผลดีกว่า
- ลองเพิ่มเงื่อนไข Volume เข้าไปในการ Backtest รอบต่อไป
- หากช่วงที่ ตลาด Sideway เจอสัญญาณหลอกเยอะ อาจเพิ่มตัวกรอง Time Filter
จากทั้ง 2 ตัวอย่างของการทำ Backtest จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ Price Action แบบ Pin Bar แม้จะไม่ใช้ Indicator แต่ถ้า Backtest ดี ๆ จะเห็นชัดเลยว่ามีจุดที่ควรหลีกเลี่ยงและจุดที่ใช้ได้ผลจริง ยิ่งทำ Backtest ซ้ำ ๆ จะเริ่มจับจังหวะตลาดได้ และมั่นใจในกลยุทธ์มากขึ้น ที่สำคัญ ต้องบันทึกอย่างละเอียด และไม่เปลี่ยนกฎกลางทาง หรือ Overtrade
ณ จุดนี้ขอเป็นการบ้านให้กับผู้อ่าน วิเคราะห์เล่น ๆ กันดูว่ากราฟจะไปทางไหนต่อ ส่วนตัวผมเลือก B เพราะว่ามีแรงลงจากสัปดาห์ก่อนค่อนข้างเยอะ แต่อาจจะมีการเด้งตามเทคนิค แต่กราฟยังไม่น่าพุ่งตอนนี้ แล้วคุณล่ะคิดยังไง ?
คลิปที่น่าสนใจ
ขอแนะนำคลิปสอน BlackTest อย่างง่ายจากโค้ชแบงค์ ที่สอนได้เข้าใจถึงเทคนิคนี้ เพราะการเรียนรู้กราฟคือสิ่งสำคัญที่นักเทรดทุกคนต้องมีทักษะตรงนี้ กับคลิป สอนวิธี Back Test ทำได้ฟรี !!!
สรุป
หลังจากที่เรา Backtest จนได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและมั่นใจในกลยุทธ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญอย่างยิ่งและขาดไม่ได้คือ การทำ Forward Testing หรือที่เรียกกันว่า Paper Trading ซึ่งคือการนำกลยุทธ์นั้นมาทดลองเทรดในสภาวะตลาดจริงบน บัญชี Demo เป็นระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 1-3 เดือน) เพื่อพิสูจน์ว่าผลลัพธ์จากการ Backtest นั้นสอดคล้องกับตลาดปัจจุบันหรือไม่ เราคือนักลงทุนที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ ทดสอบ ไม่ใช่นักพนันที่เน้นเล่นแบบ 50/50 เราไม่เสี่ยงแบบนั้น
อ้างอิง
- Backtesting: Definition, How It Works, and Downsides: https://www.investopedia.com/terms/b/backtesting.asp
- Backtesting: https://corporatefinanceinstitute.com/resources/data-science/backtesting/
- What is backtesting and how do you backtest a trading strategy?: https://www.ig.com/en/trading-strategies/what-is-backtesting-and-how-do-you-backtest-a-trading-strategy–220426
FAQ — คู่มือ Backtest กลยุทธ์ Forex ฉบับเข้าใจง่ายมาก