ราคาทองคำ และปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาขึ้นหรือลง
- ราคา ทองคำ ที่เห็นกันในบ้านเรา หมายถึงราคาทองคำแท่งและทองรูปพรรณต่อหนึ่งบาททองคำ (ประมาณ 15.244 กรัม)
- ราคานี้จะประกาศโดย สมาคมค้าทองคำ ซึ่งอิงจากราคาทองคำในตลาดโลก บวกกับค่าเงินบาท และค่าพรีเมียมในประเทศ
- ราคาทองโลกใช้หน่วยเป็น ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ (1 ออนซ์ = 31.1035 กรัม)
- ตลาดที่มีผลต่อราคาทองคำโลก เช่น COMEX (สหรัฐฯ), ตลาดลอนดอน, และการซื้อขายของ กองทุน ETF ที่เกี่ยวกับทองคำ
ปัจจัยหลักที่มีผลต่อราคาทองคำมีทั้งภายนอกและภายใน ดังนี้
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
- ทองคำมักเคลื่อนไหว สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์
- ถ้าดอลลาร์อ่อน คนทั่วโลกจะซื้อทองได้มากขึ้น ราคาทองจึงมักปรับขึ้น
- ถ้าดอลลาร์แข็ง ทองจะดูแพงในสายตาคนต่างประเทศ ราคาทองจึงมักปรับลง
- อัตราดอกเบี้ย
- ดอกเบี้ยต่ำ = เงินฝากได้ดอกน้อย คนจะหันมาลงทุนในทองเพื่อเก็บมูลค่า
- ดอกเบี้ยสูง = ต้นทุนโอกาสในการถือทองสูงขึ้น คนจะไปฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรแทน
- เงินเฟ้อ
- เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น มูลค่าเงินลดลง ทองมักถูกมองว่าเก็บมูลค่าได้ดีกว่าเงินสด
- นักลงทุนใช้ทองคำเป็น “เกราะ” ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง
- วิกฤตเศรษฐกิจ สงคราม โรคระบาด หรือความตึงเครียดทางการเมือง มักกระตุ้นให้คนหนีเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ
- ทองจึงมักพุ่งในช่วงที่ตลาดอื่นร่วงหนัก
- ความต้องการจากประเทศมหาอำนาจ
- ประเทศอย่างจีน อินเดีย ซื้อลงทุนทองในเชิงวัฒนธรรมและเป็นทุนสำรอง
- ช่วงเทศกาลแต่งงานในอินเดีย หรือช่วงปีใหม่จีน มักทำให้ความต้องการทองเพิ่มขึ้นชั่วคราว
- การเคลื่อนไหวของธนาคารกลาง
- ธนาคารกลาง หลายประเทศโดยเฉพาะรัสเซีย จีน เริ่มลดสัดส่วนการถือครองดอลลาร์ และเพิ่มทองคำในทุนสำรองแทน
- ถ้าเทรนด์นี้แรงขึ้นเรื่อย ๆ จะส่งแรงซื้อเข้าสู่ตลาดทองอย่างต่อเนื่อง
- แรงเก็งกำไรจากนักลงทุน
- ราคาทองคำเคลื่อนไหวเร็วขึ้นในช่วงที่มีแรงซื้อหรือขายจากนักลงทุนรายใหญ่ กองทุน หรือ เฮดจ์ฟันด์
- บางช่วงราคาจะผันผวนมากโดยไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน เพราะอิงกับอารมณ์ตลาด
ทองคำแบบแท่งและแบบรูปพรรณ ในหน่วย 1 ทรอยออนซ์ = 31.1035 กรัม = $3,423.595 เป็นราคาทองคำเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 หลังจากข่าวการสู้รบของอิสราเอล
ราคาทองคำในอดีต จากหลักร้อยสู่หลักหมื่น
- ย้อนกลับไปช่วงก่อนปี 2540 ราคาทองบาทละไม่ถึง 5,000 บาท
- ปี 2554 ทองพุ่งแตะหมื่นเก้าตอนเกิดวิกฤตหนี้ยุโรป
- ปี 2563 ขึ้นไปแตะใกล้ 30,000 บาทตอนโควิดระบาด
- ปัจจุบันราคาทะลุ 50,000 แล้ว ทั้งจากค่าเงินบาทอ่อนและราคาทองโลกปรับสูง
- การขึ้นของทองไม่ใช่เรื่องเร็ว ต้องใช้เวลาสะสมปัจจัยหลายปี
ตารางที่ 1 สรุป ราคาทองคำในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จนถึง พ.ศ. 2568 โดยใช้ราคาทองคำแท่งเฉลี่ยต่อ 1 บาททองคำ (15.244 กรัม) อิงข้อมูลโดยประมาณจากราคาตลาดในแต่ละปี
ปี พ.ศ. | ราคาทองคำแท่งเฉลี่ย (บาท/บาททองคำ) | เหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อราคา |
---|---|---|
2540 | ~4,000 | วิกฤตต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทลอยตัว |
2545 | ~5,500 | เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ราคาทองเริ่มขยับ |
2550 | ~10,000 | ดอลลาร์เริ่มอ่อน เงินทุนไหลเข้าทอง |
2551 | ~13,000 | วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ สินทรัพย์ปลอดภัยพุ่ง |
2554 | ~23,000 | ราคาทองพีคสุดช่วงนั้น วิกฤตหนี้ยุโรป |
2557 | ~18,000 | เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอ ราคาทองผันผวน |
2560 | ~20,000 | เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แต่ทองยังมีแรงซื้อ |
2563 | ~28,000 | โควิดระบาดทั่วโลก เงินไหลเข้าทอง |
2565 | ~30,000 | เงินเฟ้อสูงทั่วโลก ทองกลับมาเป็นที่สนใจ |
2566 | ~32,000 | ดอกเบี้ยสหรัฐสูง กดดันราคาทองบางช่วง |
2567 | ~42,000 | ราคาทองพุ่งต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน ค่าเงินบาทอ่อน |
2568 | ~50,000 | ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก |
วิเคราะห์ปัจจัยที่อาจผลักดันราคาทองไปถึง 80,000 บาท
- เงินเฟ้อระดับสูงทั่วโลกแบบยาวนาน
- ถ้าเงินเฟ้อยังควบคุมไม่ได้แบบที่เห็นช่วงหลังโควิด ถึงแม้จะขึ้นดอกเบี้ยแล้วก็ยังอยู่สูง
- นักลงทุนจะมองทองคำเป็นที่หลบภัยในระยะยาว เพราะถือแล้วมูลค่าไม่ลดเท่ากระดาษเงิน
- ดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ช่วงอ่อนค่ารุนแรง
- ถ้า Fed ต้องลดดอกเบี้ยแรง ๆ หรือเข้าสู่ยุคพิมพ์เงินรอบใหม่ ดอลลาร์จะอ่อน
- ทองซึ่งอิงราคาดอลลาร์ จะดู “ถูกลง” ในสายตาต่างชาติ ทำให้มีแรงซื้อดันราคาเพิ่มขึ้น
- ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์
- ถ้าเกิดเหตุการณ์ระดับใหญ่ เช่น สงครามที่ขยายวง, การเผชิญหน้าระหว่างชาติมหาอำนาจ
- ทุนจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทันที แล้วเข้าหาทองแบบไม่ลังเล
- เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง
- ถ้าหลายประเทศเข้าสู่ Recession พร้อมกัน นักลงทุนจะหาทาง ถือสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวกับรายได้บริษัท
- ทองจะโดดเด่นขึ้นมาทันที แม้ไม่มี yield ก็ตาม
- ธนาคารกลางเริ่มสะสมทองคำมากขึ้น
- หลายปีหลังมานี้มีเทรนด์ที่หลายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ทยอยซื้อทองเข้าคลัง
- ถ้าแนวโน้มนี้แรงขึ้นอีก อาจสร้าง demand ที่สูงกว่าปริมาณผลิตต่อปี จนดันราคาพุ่ง
- เงินบาทอ่อนระยะยาว
- ถ้าบาทหลุด 40–42 บาทต่อดอลลาร์แบบถาวร ราคาทองในประเทศจะเด้งขึ้นแม้ราคาทองโลกไม่เปลี่ยน
- ปัจจัยนี้มีผลต่อ “ราคาทองบาทละ” โดยตรง เพราะคนไทยซื้อขายเป็นเงินบาท
- ภาวะตลาดหุ้นหรืออสังหาฯ ไม่ดึงดูด
- ถ้าตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ช่วงตกต่ำยาว คนจะเริ่มหันไปหาทองในฐานะ “ที่เก็บมูลค่า”
- โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนในระบบการเงินกระแสหลัก
- ต้นทุนการผลิตทองสูงขึ้น
- ราคาน้ำมัน, ค่าแรง, ค่าเหมืองเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการขุดทองแพงขึ้น
- ถ้าซัพพลายใหม่หายากและแพง ราคาในตลาดก็ต้องปรับขึ้นเพื่อจูงใจเหมืองให้ผลิต
- ทองคำถูกพูดถึงมากในกระแสสื่อ
- ความเชื่อมั่นของรายย่อยมีผลเช่นกัน ถ้าเกิดกระแส “ทองจะไป 80,000” แพร่หลาย
- จะมีแรงซื้อตามเทรนด์เข้ามาเรื่อย ๆ ดันราคาไปไกลกว่าที่ควรเป็นตามพื้นฐานจริง
ไทม์ไลน์ราคาทองคำตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่ราคาทองขยับขึ้นมาเรื่อย ๆ หลังจากนั้น 28 ปี ราคาทองคำกลับสูงมากถึง 52,450 บาท จาก 4,000 บาท
ถ้าทองคำแตะ 80,000 บาทจริง จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร
ค่าเงินบาทอ่อนแรงอย่างมีนัยสำคัญ
- ถ้าทองแตะ 80,000 บาท ต้องถามก่อนว่า “ราคาทองโลกขึ้น” หรือ “บาทอ่อน” ???
- หากเงินบาทอ่อนอย่างหนัก เช่น หลุด 42–45 บาท/ดอลลาร์ นั่นสะท้อนว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยกำลังแย่
- นักลงทุนต่างชาติอาจถอนทุน ตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยจะถูกกดดัน
- ต้นทุนนำเข้าสินค้าพุ่ง ทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศสูงขึ้น
เงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มพุ่ง
- ทองที่แพงมากมักสะท้อนความไม่มั่นคงของระบบการเงิน
- ราคาทองแตะ 80,000 บาท แปลว่า “ความต้องการป้องกันความเสี่ยงสูงมาก” ซึ่งมักเกิดในยุคเงินเฟ้อแรง
- ของนำเข้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน อาหาร เทคโนโลยี ล้วนมีราคาพุ่งตาม
- ค่าครองชีพสูงขึ้น กำลังซื้อของประชาชนจะลดลง
การลงทุนในธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าเจอแรงกดดัน
- ต้นทุนของบริษัทที่ต้องพึ่งสินค้านำเข้า เช่น โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ ยา เครื่องจักร จะเพิ่มขึ้นชัดเจน
- หากไม่สามารถผลักภาระไปยังผู้บริโภคได้ กำไรจะถูกบีบ
- นักลงทุนสถาบันอาจลดน้ำหนักในกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนต่างประเทศ
ภาคการท่องเที่ยวอาจได้อานิสงส์บ้าง
- ถ้าค่าเงินบาทอ่อนมาก ต่างชาติจะรู้สึกว่าเที่ยวไทย “คุ้มค่า” ขึ้น
- อุตสาหกรรมท่องเที่ยวอาจเป็นตัวพยุงเศรษฐกิจในช่วงทองแพง
- แต่ต้องแลกกับต้นทุนพลังงานและอาหารที่แพงขึ้น
ทองกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหลักของประชาชน
- ความเชื่อมั่นในระบบการเงินอาจลดลง คนเริ่มไม่ไว้ใจเงินบาท
- การสะสมทองจะเพิ่มขึ้นแบบผิดปกติ ทั้งในกลุ่มรายย่อยและกลุ่มทุน
- ราคาทองแตะ 80,000 บาทอาจกระตุ้น “ฟองสบู่ทองคำ” ในตลาดภายในประเทศ
ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น
- คนที่ถือทองอยู่ตั้งแต่ช่วงราคาต่ำ จะมีสินทรัพย์มูลค่าสูงขึ้นทันที
- คนที่ไม่มีสินทรัพย์หรือมีแต่เงินสด จะเจอสภาพ “เงินด้อยค่า”
- ช่องว่างความมั่งคั่งจะยิ่งห่างมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเงินเฟ้อสูง
ความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจสั่นคลอน
- ถ้าทองแตะระดับนี้ มักไม่ได้เกิดจากภาวะปกติ แต่สะท้อนความเสี่ยงเชิงระบบ
- นักลงทุนในตลาดหุ้น อสังหาฯ หรือตราสารหนี้ จะเริ่ม shift asset มาที่ทองมากขึ้น
- เม็ดเงินลงทุนใหม่อาจไม่ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะกลาง
ถ้าทองแตะ 80,000 บาท นั่นไม่ใช่สัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจโดยรวม แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าระบบการเงินกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างรุนแรง
หากค่าเงิน $ ดอลลาร์สหรัฐ ลดลง ราคาทองคำจะสูงขึ้น เมื่อเทียบกับกราฟทองคำ XAU/USD หรือ ทองคำ จะเห็นได้อย่างชัดเจนมากที่สุด และนี่คือปัจจัยที่สำคัญมากของการขึ้นราคาทองคำ
ผลกระทบต่อนักลงทุนรายย่อย และคนที่ถือทองคำ
- คนที่สะสมทองมาหลายปีจะได้กำไรจำนวนมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ขาย
- คนที่เพิ่งเข้ามาตอนราคาสูงเสี่ยงขาดทุนถ้าทองปรับฐานแรง
- นักลงทุนระยะสั้นอาจเจอกับความผันผวนสูง ต้องบริหารความเสี่ยงดี ๆ
- ใครที่ใช้ทองคำเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน อาจได้วงเงินสูงขึ้น
- ตลาดทองคำ อาจเกิดภาวะเก็งกำไรรุนแรง จนราคาขยับแรงผิดปกติ
- ต้องจับตาการถูกแทรกแซงจากภาครัฐหรือธนาคารกลางในบางประเทศ
ราคาทอง 80,000 บาท โอกาสทองหรือสัญญาณอันตราย
- สำหรับคนที่มีทองอยู่แล้ว ถือเป็นโอกาสทำกำไร ถ้าเลือกจังหวะขายดี
- สำหรับตลาดโดยรวม อาจสะท้อนถึงวิกฤตระดับใหญ่ที่กำลังก่อตัว
- เป็นสัญญาณเตือนให้กระจายพอร์ตลงทุน ไม่ลงแต่ทองเพียงอย่างเดียว
- นักลงทุนต้องแยกให้ออกว่า ทองขึ้นเพราะมูลค่าแท้จริง หรือแค่เงินเฟ้อค่าเงินตก
- ทองแตะ 80,000 ไม่ใช่แปลว่าเศรษฐกิจดี อาจหมายถึงคนไม่เชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจอื่นแล้ว!!
หากราคาทองคำไปแตะ 80,000 บาทจริง จะเกิดผลกระทบในหลาย ๆ รูปแบบ แต่ยังมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ยังได้ผลดีอยู่
แนวทางรับมือและกลยุทธ์การลงทุนหากราคาทองพุ่งสูง
- แบ่งทองที่ถือไว้บางส่วนขายทำกำไรเป็นเงินสด เพื่อบริหารพอร์ต
- ไม่ควรไล่ซื้อทองตอนราคาพุ่งแรง ควรรอจังหวะปรับฐาน
- ใช้กลยุทธ์ถัวเฉลี่ยแบบทยอยซื้อ (DCA) ถ้าคิดว่าทองยังมีอนาคต
- กระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้นกลุ่มเหมืองทอง หรือกองทุนทองคำ
- ติดตามข่าวเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะท่าทีของ Fed และธนาคารกลาง
- ประเมินสภาพคล่องของตัวเอง ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทอง
คลิปที่น่าสนใจ
ขอแนะนำคลิปที่สรุป วิเคราะห์ เกี่ยวกับราคาทองคำว่าจะไปสุดที่เท่าไหร่ จากช่องข่าว TNN กับคลิป ราคาทองคำจะขึ้นไปถึงไหน ? I WEALTH LIVE
ราคาทองคำตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2006 เริ่มมีราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดเปลี่ยนในช่วงปี 2013 ที่ราคาทองลดลงในปีนั้น อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ก็สูงลิ่วไปทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ตลอด
สรุป
ราคาทอง 80,000 บาทเป็นไปได้แค่ไหนในความเป็นจริง?
- มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง แต่ต้องอาศัยหลายปัจจัยพร้อมกัน ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว
- ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น (ยกเว้นเกิดวิกฤตรุนแรงระดับโลก)
- ทอง 80,000 อาจมาพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจในรูปแบบที่คนทั่วไปไม่อยากเจอ
- การลงทุนทองควรใช้ข้อมูลและแผน ไม่ใช่อารมณ์ ควรมีแผนเทรด แบบ นักเทรด มืออาชีพ ไม่ Overtrade
- สำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจว่า ทองไม่ได้ขึ้นไปตลอดเวลา และทุกการขึ้น ก็มีโอกาสลงด้วยเช่นกัน
อ้างอิง
- ราคาทองคำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า: https://th.investing.com/commodities/gold
- ทองโลกทำจุดสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ที่ระดับ 3,435 ดอลลาร์: https://th.investing.com/analysis/article-200452921
- XAU/USD definition: https://www.forex.com/en-us/glossary/xau-usd
FAQ — ราคาทอง 80,000 เป็นไปได้ไหม จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อราคาทองบาทละ 8 หมื่น
ทั้ง “ใช่และไม่ใช่” คือ อาจจะใช่ ในแง่ที่ว่ามันอาจมีแรงเก็งกำไรมหาศาลผลักดันราคาให้สูงเกินปัจจัยพื้นฐานไปมาก (ถ้าไม่นับเรื่องค่าเงินบาท) แต่ไม่ใช่ เพราะพื้นฐานของทองคำต่างจากสินทรัพย์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ทองคำไม่ใช่แค่ของสะสม แต่มันคือ เงินในรูปแบบที่เก่าแก่และเป็นที่ยอมรับที่สุด ฟองสบู่จะแตกเมื่อความเชื่อมั่นในสินทรัพย์นั้นหมดไป แต่ราคาทองที่พุ่งสูง มันสะท้อนว่าความเชื่อมั่นใน “เงินกระดาษ” ต่างหากที่กำลังจะหมดไป ในวันที่ระบบการเงินสั่นคลอน ทองคำคือสินทรัพย์สำรองสุดท้ายที่แม้แต่ธนาคารกลางยังต้องยอมรับ (และอาจรวมไปถึงคริปโตด้วย)
แน่นอนว่าไม่แฟร์ และนั่นคือความจริงของระบบการเงินมาโดยตลอด การที่ราคาทองพุ่งสูงคือภาพสะท้อนของ “การปล้นความมั่งคั่งอย่างเงียบๆ ผ่านเงินเฟ้อ” มีชื่อเรียกเท่ๆว่า Silent Robbery คนที่เข้าใจเกมและเปลี่ยนเงินสดที่ด้อยค่าลงทุกวันไปเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าได้ (เช่น ทองคำ, ที่ดิน, หุ้นดี, เหรียญคริปโตที่มีอนาคต) คือผู้รอดและผู้ชนะ ส่วนคนที่เก็บเงินสดไว้ในธนาคารเพราะคิดว่าปลอดภัย คือคนที่กำลังถูกลดทอนอำนาจซื้อไปเรื่อยๆ ซึ่งยุคนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าคนไม่รู้ตัว ไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้ทางการเงิน แต่เป็นเรื่องที่ทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้น แต่คนจนยิ่งหมดโอกาสลงไปเรื่อย ๆ
ทำได้ แต่ผลลัพธ์อาจเลวร้ายกว่าเดิมก็ได้ การแทรกแซงราคาทองคำโดยตรงทำได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นตลาดเสรี สิ่งที่ธนาคารกลางทำได้เร็ว คือการแก้ที่ ต้นเหตุ เช่น การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง เพื่อเป็นแม่เหล็กดึงดูดเงินกลับเข้าสู่ระบบ และสร้างมาตรการภาษีที่ทำให้การถือทองมีต้นทุนสูงขึ้น แต่ถ้าทำแบบนั้นในภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง ก็เหมือนการเหยียบคันเร่งและเบรกไปพร้อมกัน อาจทำให้เศรษฐกิจพังลงมาได้ง่าย ๆ การแทรกแซงที่ฝืนกลไกตลาด ล้วนจะสร้างความเสียหายมากกว่าเดิมในระยะยาว ดูตัวอย่างจากในอดีตได้ เช่น การแทรกแซงราคาทองในยุค Gold Standard จนเกิด Nixon Shock และเป็นจุดเริ่มต้นของตลาด forex ที่เราเทรดค่าเงินกันในตอนนี้
เพราะวัตถุประสงค์ต่างกัน การเทรด XAU/USD ในตลาด Forex หรือซื้อกองทุนทองคำ คือ การเก็งกำไรบนราคาทอง คุณไม่ได้เป็นเจ้าของทองคำจริงๆ คุณแค่เดิมพันกับราคาของมัน ซึ่งเหมาะกับการทำกำไรในระยะสั้นถึงกลาง แต่การซื้อทองคำแท่ง คือ การถือครองสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา (Counterparty Risk) เช่น โบรกเกอร์ปิดตัว หรือสถาบันการเงินล้มละลาย ทำให้ทองในบัญชีของคุณอาจมีปัญหาได้ แต่ทองในตู้เซฟก็จะยังอยู่กับคุณเสมอ
การที่ราคาทองขึ้นเพราะเงินบาทอ่อนค่า ไม่ได้หมายความว่าคุณรวยขึ้นในสเกลโลก แต่มันคือการที่คุณสามารถ “รักษากำลังซื้อ” ไว้ได้ แต่คนอื่น ๆ ที่ถือเงินสดจนลง เช่น ลองนึกภาพว่าทองคำ 1 บาท วันนี้สามารถซื้อ iPhone ได้ 1 เครื่องพอดี, แต่ถ้าในอนาคตเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างหนักจนราคา iPhone ในไทยแพงขึ้น 2 เท่า, ราคาทองคำในมือ ก็จะปรับตัวสูงขึ้นเป็น 2 เท่าเช่นกัน ทำให้สุดท้ายก็ยังสามารถซื้อ iPhone ได้ 1 เครื่องเท่าเดิม แต่ในทางกลับกัน คนที่เก็บเงินสดไว้ จะพบว่าเงินของเขาซื้อ iPhone ได้เพียงครึ่งเครื่องเท่านั้น ทองคำทำหน้าที่เหมือนกรมธรรม์ นี่คือเหตุผลที่แท้จริงของการมีทองคำไว้ในพอร์ต ไม่ใช่เพื่อรวยขึ้น แต่เพื่อ “ป้องกันความจน”