- Margin (มาร์จิ้น) เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เทรดเดอร์ สามารถใช้ Lot ที่มีตำแหน่งใหญ่กว่าเงินทุนได้
- Leverage (เลเวอเรจ) ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรจากการใช้ Margin
- บทความนี้จึงได้รวบรวม และจะขออธิบายเกี่ยวกับ
- วิธีการทำงานของ Margin
- ความแตกต่างระหว่าง Margin และ Leverage
- ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Margin
- กลยุทธ์การบริหาร Margin เพื่อลดความเสี่ยง
- สร้างกำไรจาก Leverage และ Margin สูงได้อย่างมหาศาล แต่กลับกัน หากเทรดผิดทางก็เสียหายถึงขั้นล้างพอร์ตได้เลย (Stop Out นั่นเอง)
Margin คืออะไร และทำงานอย่างไรใน Forex
- Margin คือเงินประกันที่เทรดเดอร์ต้องวางไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิดคำสั่งซื้อขายในตลาด Forex
- เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องมีเงินเต็มจำนวนของมูลค่าการเทรด
- แต่สามารถใช้ Leverage (เลเวอเรจ) เพื่อควบคุมปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่กว่าทุนของตัวเอง
เมื่อเปิดคำสั่งซื้อขาย โบรกเกอร์จะกันเงินส่วนหนึ่งของบัญชีไว้เป็น Margin และคืนเงินส่วนนั้นเมื่อปิดคำสั่ง หากการเทรดขาดทุนจนถึงระดับที่กำหนด อาจเกิด Margin Call หรือ Stop Out ซึ่งจะสามารถอธิบายได้ตามตารางดังนี้
ตารางที่ 1 อธิบายถึงการใช้ Margin ในแต่ละแบบ ของการเทรด
ตัวอย่างการใช้
สร้างสถานการณ์ ว่าโบรกเกอร์ให้ Leverage 1:100 หมายความว่าคุณสามารถควบคุมการซื้อขายที่มีมูลค่า 100 เท่า ของเงินที่คุณมี
- คุณต้องการซื้อ EUR/USD มูลค่า 1 Lot (100,000 หน่วย)
- เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า คุณต้องมี 1% ของมูลค่าการเทรด เป็น Margin
- ดังนั้น Margin ที่ใช้ไป = 1% × 100,000 = 1,000 USD
- หาก Equity ลดลงต่ำกว่า Margin ที่ใช้ โบรกเกอร์อาจแจ้งเตือน Margin Call
Leverage กับ Margin ต่างกันอย่างไร
- Leverage (เลเวอเรจ) คือ อัตราส่วนที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่กว่าทุนของตัวเอง
- เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์ที่มีมูลค่า 100 เท่าของเงินทุนที่มี
- Margin (มาร์จิ้น) คือ จำนวนเงินที่โบรกเกอร์กันไว้จากบัญชีของเทรดเดอร์เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการเปิดออเดอร์ ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง Margin ที่ต้องใช้ก็ยิ่งน้อย
สามารถอธิบายถึงความแตกต่างของทั้งคู่ได้ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบระหว่าง Leverage และ Margin
- Leverage เป็นตัวช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์ที่มีมูลค่ามากกว่าทุนของตัวเอง
- Margin คือเงินที่ถูกกันไว้เพื่อเปิดคำสั่ง ยิ่ง Leverage สูง Margin ที่ใช้ก็ยิ่งน้อย
- แม้ Leverage จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนมากด้วย
รูปที่ 1: อธิบายถึงการเปรียบเทียบกันระหว่าง เลเวอเลจ และ มาร์จิ้น ที่มีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย โบรกเกอร์ให้เป็นหลักประกัน และ โบรกเกอร์ให้เพิ่มขนาด Lot การซื้อขายได้
7 กลยุทธ์การบริหาร Margin เพื่อลดความเสี่ยง
- Margin เป็นดาบสองคมที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปิดออเดอร์ที่มีมูลค่ามากกว่าทุนของตัวเองผ่าน Leverage
- แต่หากบริหารไม่ดี อาจทำให้บัญชีพัง (หรือที่เรียกกันว่า พอร์ตแตก) จาก Margin Call หรือ Stop Out ได้
- ดังนั้นจึงขอแนะนำกลยุทธ์ง่าย ๆ ทั้ง 7 ข้อดังต่อไปนี้
1. ใช้ Leverage อย่างเหมาะสม
- Leverage สูงช่วยให้ใช้ Margin น้อย แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน
- การใช้ Leverage ต่ำลง จะช่วยลดโอกาสเกิด Margin Call
ตัวอย่าง
- Leverage 1:500 ต้องการ Margin เพียง 0.2% ของขนาดออเดอร์ แต่มีความเสี่ยงสูง
- Leverage 1:100 ต้องใช้ Margin 1% ของออเดอร์ มีความเสี่ยงต่ำกว่า
- แนะนำให้ใช้ Leverage ไม่เกิน 1:50 หรือ 1:100 เพื่อรักษา Margin ให้มีเพียงพอ
2. ติดตาม Margin Level อยู่เสมอ
- Margin Level เป็นตัวบอกว่าสถานะของบัญชีปลอดภัยแค่ไหน
- ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ต่ำกว่า 100% เพื่อหลีกเลี่ยง Margin Call
คิดตามสูตรในการคำนวณตามตารางที่ 1 และ รูปที่ (2) คำนวณจากสูตร: (Equity ÷ Used Margin) × 100%
- Margin Level มากกว่า 200% = ปลอดภัย
- Margin Level 100% หรือต่ำกว่า = เสี่ยง Margin Call
- Margin Level ต่ำกว่า 50% = อาจโดน Stop Out
รูปที่ 2: อธิบายถึงสูตรในการคำนวณหา Margin Level เมื่อได้ค่าแล้ว ก็ลองดูว่า ได้กี่ % พร้อมกับจำนวนตัวเลขที่จะทำให้บัญชีของคุณ ปลอดภัย
3. ใช้ Stop Loss จำกัดความเสี่ยง
- Stop Loss เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยปกป้องบัญชีจากการขาดทุนเกินควบคุม
- จะต้องกำหนดจุดที่ต้องการปิดออเดอร์อัตโนมัติหากราคาวิ่งผิดทาง
ตัวอย่างการตั้ง Stop Loss
- ถ้าเทรด EUR/USD และต้องการเสี่ยงไม่เกิน 2% ของพอร์ต
- หากมีทุน 1,000 USD ดังนั้น 2% = ขาดทุนได้สูงสุด 20 USD
- ตั้ง Stop Loss ในจุดที่หากโดนแล้วขาดทุน ไม่เกิน 20 USD
4. เทรดด้วยขนาดล็อตที่เหมาะสม (Position Sizing)
- การใช้ขนาดออเดอร์ที่เหมาะสมกับบัญชีจะช่วยให้ใช้ Margin อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่ทำให้ Equity ลดลงเร็วเกินไป
หลักการเลือกขนาดล็อต
- ถ้าทุน $1,000 จะแนะนำให้เทรดไม่เกิน 0.01 – 0.05 lot
- ถ้าทุน $10,000 สามารถเทรด 0.1 – 0.5 lot
5. หลีกเลี่ยงการเปิดหลายออเดอร์เกินไป
- การเปิดออเดอร์พร้อมกันหลายไม้จะใช้ Margin มากขึ้น ทำให้ Margin Level ลดลงเร็ว
- หากราคาวิ่งผิดทาง อาจทำให้ Equity หมดเร็วและโดน Stop Out
6. เติมเงินเพิ่มเมื่อ Margin ใกล้หมด
- หาก Margin Level ลดลงต่ำจนเข้าเขตเสี่ยง (ต่ำกว่า 100%)
- อาจต้องเติมเงินเพิ่มเพื่อให้ Equity สูงขึ้น และลดโอกาสถูก Stop Out
- แต่จะต้องดูเงินทุนของตนเองด้วย ใ
7. ใช้ Risk Management ควบคู่กับ Margin Management
- การบริหาร Margin ควรทำควบคู่ไปกับการจัดการความเสี่ยง
- การกำหนด Risk-Reward Ratio (RRR) และการใช้ Risk Per Trade
- Risk-Reward Ratio (RRR) ควรเป็น 1:2 หรือ 1:3 เพื่อให้กำไรมากกว่าการขาดทุน
- กำหนด Risk Per Trade ไม่ให้เกิน 1-2% ของบัญชี เพื่อไม่ให้ Equity ลดลงเร็ว
สรุปกลยุทธ์การบริหาร Margin เพื่อลดความเสี่ยง
- ใช้ Leverage ให้เหมาะสม ไม่สูงเกินไป
- ควบคุม Margin Level ให้อยู่เหนือ 100%
- ใช้ Stop Loss ป้องกันการขาดทุนหนัก
- ควบคุม ขนาดล็อต ให้เหมาะสมกับบัญชี
- หลีกเลี่ยงการเปิดหลายออเดอร์เกินไป
- เติมเงินเพิ่มหาก Margin ใกล้หมด
- ใช้ Risk Management ควบคู่กับการบริหาร Margin
ข้อดีและข้อเสียของ Margin ในการเทรด Forex
ข้อแตกต่าง สร้างข้อดี-ข้อเสียมากมายในการใช้ Margin จึงขอสรุปข้อมูลเพื่ออธิบายมาดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 อธิบายถึง ข้อดี และ ข้อเสียของ Margin
ตัวอย่างข้อดีของการใช้ Margin
- เพิ่มกำลังซื้อ
- หากคุณมีทุน 1,000 USD และใช้ Leverage 1:100
- คุณสามารถเปิดออเดอร์ได้ถึง 100,000 USD ซึ่งเท่ากับ 100 เท่าของทุน ที่คุณมี
- ทำให้คุณสามารถเข้าร่วมตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น
- ข้อดี
- คุณสามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยในตลาดได้ เช่น 10 Pips สามารถทำกำไรถึง 100 USD ถ้าเทรดขนาด 1 Lot
- ใช้เงินทุนต่ำ
- หากคุณต้องการเปิดออเดอร์ขนาด 1 Lot ด้วย Leverage 1:100
- คุณเพียงแค่ต้องใช้ 1,000 USD ของทุนตัวเอง แทนที่จะต้องใช้ 100,000 USD เพื่อควบคุมออเดอร์ขนาดเดียวกัน
- ข้อดี
- ช่วยให้คุณสามารถเปิดหลายตำแหน่งด้วยเงินทุนจำกัด ทำให้มีโอกาสทำกำไรจากหลายๆ การเคลื่อนไหวในตลาด
รูปที่ 3: อธิบายถึงข้อดีของการใช้ Margin สามารถเพิ่มกำลังในการซื้อ ด้วยเงินทุนที่ต่ำ แต่ผลเสียก็ร้ายแรงถึงขั้นล้างพอร์ตได้เลย
ตัวอย่างข้อเสียของการใช้ Margin
- ความเสี่ยงสูง
- หากคุณใช้ Leverage 1:500 และเปิดออเดอร์ใหญ่
- แต่การเคลื่อนไหวในตลาดผิดทิศทาง 50 Pips
- คุณอาจจะเสียเงินทุนไปอย่างรวดเร็ว เพราะ Leverage สูงหมายความว่า คุณควบคุมตำแหน่งใหญ่ด้วยทุนที่ต่ำ
- ข้อเสีย
- การใช้ Leverage สูง สามารถทำให้การขาดทุนของคุณมีขนาดใหญ่และเร็วขึ้น ซึ่งอาจทำให้พอร์ตของคุณหมดเร็ว
- การขาดทุนเกินทุน
- หาก Margin ที่ใช้ต่ำเกินไป และราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทางมากๆ เมื่อถึงระดับที่ Margin เหลือน้อยกว่าที่กำหนด
- อาจจะเกิด Margin Call หรือ Stop Out ทำให้โบรกเกอร์ปิดคำสั่งที่ขาดทุนโดยอัตโนมัติ
- ข้อเสีย
- ความเสี่ยงในการขาดทุนสามารถสูงกว่าทุนที่มีได้ หากไม่บริหาร Margin อย่างรอบคอบ
- Margin Call หรือ Stop Out จะเกิดขึ้นเมื่อ Margin Level ลดลงจนเกินกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด
ตัวอย่างการใช้ Margin ในสถานการณ์จริง
- กำหนดให้ คุณมีทุนในบัญชี 1,000 USD และต้องการเทรดคู่เงิน EUR/USD โดยใช้ Leverage 1:100
- หมายความว่าคุณสามารถควบคุม 100,000 USD ด้วยทุนเพียง 1,000 USD เท่านั้น
ส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์ Forex จะมี Leverage สูง ๆ ให้นักเทรดได้ลงทุนน้อย ๆ แต่ได้กำไรมหาศาล แต่รู้ไหมว่าถ้าบริหารไม่ดี นี่แหละคือ ดาบสองคมที่จะทำให้คุณหมดตัวไปกับการเทรดฟอเร็กซ์
สถานการณ์ 1: เปิดออเดอร์ด้วย Leverage 1:100
- เปิดคำสั่งซื้อ EUR/USD ขนาด 1 Lot (100,000 EUR)
- โดยการใช้ Leverage 1:100 คุณจะต้องใช้ Margin 1% ของขนาดการซื้อขาย
- Margin ที่ใช้ = 1% ของ 100,000 USD = 1,000 USD
- การเคลื่อนไหวของราคา
- สมมุติว่า ราคา EUR/USD ขึ้นไป 50 Pips (1 Pip = 10 USD สำหรับ 1 Lot)
- คุณจะทำกำไร 50 Pips × 10 USD/Pip = 500 USD
- ตอนนี้คุณมี 1,500 USD ในบัญชี (ทุนเริ่มต้น + กำไร)
- หากราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทาง
- หากราคา ลงไป 50 Pips คุณจะขาดทุน 50 Pips × 10 USD/Pip = 500 USD
- ตอนนี้คุณจะเหลือ 500 USD ในบัญชี (ทุนเริ่มต้น – ขาดทุน)
สถานการณ์ 2: ใช้ Leverage 1:50 (ลดความเสี่ยง)
- เปิดคำสั่งซื้อ EUR/USD ขนาด 1 Lot (100,000 EUR)
- การใช้ Leverage 1:50 ทำให้คุณต้องใช้ Margin 2% ของขนาดการซื้อขาย
- Margin ที่ใช้ = 2% ของ 100,000 USD = 2,000 USD
- การเคลื่อนไหวของราคา
- สมมุติว่า ราคา EUR/USD ขึ้นไป 50 Pips (1 Pip = 10 USD สำหรับ 1 Lot)
- คุณจะทำกำไร 50 Pips × 10 USD/Pip = 500 USD
- ตอนนี้คุณจะมี 1,500 USD ในบัญชี (ทุนเริ่มต้น + กำไร)
- หากราคาเคลื่อนไหวผิดทิศทาง
- หากราคา ลงไป 50 Pips คุณจะขาดทุน 50 Pips × 10 USD/Pip = 500 USD
- ตอนนี้คุณจะเหลือ 500 USD ในบัญชี (ทุนเริ่มต้น – ขาดทุน)
- การใช้ Leverage 1:100 ช่วยให้คุณใช้ทุน 1,000 USD ในการควบคุม 100,000 USD แต่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพราะ Margin ที่ต้องใช้ต่ำกว่า
- หากคุณใช้ Leverage 1:50 คุณจะต้องใช้ทุน 2,000 USD สำหรับการควบคุมตำแหน่งขนาดเดียวกัน แต่ความเสี่ยงต่ำกว่าการใช้ Leverage 1:100
8 ข้อควรระวังเกี่ยวกับ Margin สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
- อย่าใช้ Leverage สูงเกินไป
- แม้ Leverage จะช่วยให้สามารถเปิดออเดอร์ขนาดใหญ่ขึ้น แต่การใช้ Leverage สูงเกินไปอาจทำให้ความเสี่ยงของการขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ควรเริ่มต้นด้วย Leverage ที่เหมาะสม เช่น 1:50 หรือ 1:100 เพื่อให้คุณมีการควบคุมความเสี่ยงได้ดี
- ตรวจสอบ Margin Level อยู่เสมอ
- Margin Level คำนวณจากการหาร Equity ด้วย Used Margin และคูณด้วย 100% หาก Margin Level ต่ำเกินไป (เช่น ต่ำกว่า 100%) อาจเกิด Margin Call หรือ Stop Out ซึ่งทำให้คำสั่งถูกปิดโดยอัตโนมัติ
- ใช้ Stop Loss ทุกครั้ง
- การตั้ง Stop Loss เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวผิดทิศทาง
- ควรกำหนดระดับ Stop Loss ที่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนเกินกว่าที่ยอมรับได้
- อย่าลืมคำนวณ Margin ก่อนเปิดคำสั่ง
- ก่อนที่จะเปิดคำสั่ง ควรตรวจสอบว่า Margin ที่ใช้ ไม่เกินความสามารถของบัญชีและไม่เสี่ยงเกินไป
- หลีกเลี่ยงการเปิดหลายออเดอร์พร้อมกัน
- การเปิดหลายออเดอร์ในเวลาเดียวกันสามารถใช้ Margin ได้มาก ซึ่งอาจเสี่ยงเกินไปหากราคาตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาด
- เติมเงินในบัญชีหากจำเป็น
- หาก Margin ใกล้หมดหรือลดต่ำลง ควรเติมเงินเพิ่มเติมในบัญชีเพื่อรักษาระดับ Margin ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
- มีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน
- การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น การกำหนดขนาดล็อตที่เหมาะสมกับทุนของคุณ และการจัดการการขาดทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
- หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ Margin ต่ำเกินไป
- เมื่อ Margin Level ต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น 100% คุณอาจถูกเรียกให้เติมเงินเข้าสู่บัญชีหรือปิดคำสั่งที่ขาดทุน
รูปที่ 4: อธิบายถึง 8 ข้อที่เทรดเดอร์มือใหม่ควรระวัง กับ โบรกเกอร์ที่มีค่า Leverage สูง ต้องมีประสบการณ์สักหน่อย และ ยอมรับได้ถึงการขาดทุนจำนวนมาก
คลิป
- คลิปจากช่อง Trading withtoptrader อธิบายว่า มาร์จิ้นส์ (Margin) คืออะไร?
- https://www.youtube.com/watch?v=wOBa1GZ8IoY
- พร้อมทั้งสอนสูตรการคำนวณแบบง่าย ๆ
สรุป
- Margin คือ เงินที่โบรกเกอร์กันไว้จากบัญชีเพื่อใช้เป็นหลักประกันในการเปิดคำสั่งซื้อขาย
- การใช้ Leverage ทำให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมออเดอร์ขนาดใหญ่โดยใช้เงินทุนที่ต่ำกว่า
- การบริหาร Margin อย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้เทรดเดอร์สามารถลดความเสี่ยงในการขาดทุน
- Margin Call และ Stop Out เกิดเมื่อ Margin Level ต่ำเกินไปหรือเงินในบัญชีไม่เพียงพอรองรับการเปิดคำสั่ง
- ข้อดีของ Margin
- ช่วยให้สามารถเปิดคำสั่งใหญ่ได้แม้มีทุนต่ำ
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในตลาด
- ข้อเสียของ Margin
- เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนมากขึ้น
- หากใช้ Leverage สูงเกินไปอาจทำให้ขาดทุนเร็วและมากเกินไป
- ข้อควรระวัง
- คำนึงถึง Leverage ที่ใช้ให้เหมาะสม
- ตรวจสอบ Margin Level อยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการโดน Margin Call
- ใช้ Stop Loss เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุน
- เทรดเดอร์มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วย Leverage และ Margin ที่ต่ำ และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
อ้างอิง
- Margin and Margin Trading Explained Plus Advantages and Disadvantages: https://www.investopedia.com/terms/m/margin.asp
- How Does Margin Trading in the Forex Market Work?: https://www.investopedia.com/ask/answers/06/forexmargin.asp
- What is margin in forex?: https://www.cmcmarkets.com/en-gb/learn-forex/what-is-margin-in-forex-trading
- What is Margin?: https://www.babypips.com/learn/forex/what-is-margin