ในการเทรด Forex นั้น ความสำเร็จไม่ได้วัดจากการทำกำไรอย่างเดียว แต่ยังวัดจากการรักษาพอร์ตการลงทุนให้อยู่รอดในทุกสภาวะตลาดด้วย ดังนั้นการป้องกันไม่ให้พอร์ตแตกนั้นก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋า การป้องกันความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญมากๆ ดังข้อปฎิบัติดังต่อไปนี้
ความเสี่ยงซ่อนอยู่ทุกที่ แต่เราจะหลบได้อย่างไร?
การเทรดในตลาด Forex มาพร้อมกับความเสี่ยงที่หลากหลาย ทั้งจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่แน่นอนและสภาพคล่องต่างๆดังนั้นการเรียนรู้และเข้าใจกลไกต่างๆ ของตลาด Forex อย่างละเอียดจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นดังหัวข้อต่อไปนี้
รูปที่ 1 อธิบายถึงขั้นตอนการทำความเข้าใจกลไกตลาด Forexในเชิงลึกเพื่อเป็นการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนเพื่อป้องกันการพอร์ตแตก
ทำความเข้าใจกลไกตลาด Forex แบบลึกซึ้งเสียก่อน
- ในตลาด Forex การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณก็เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง การที่ราคาปรับตัวขึ้นหรือลงอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ข่าวเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมือง หรือการคาดการณ์ของนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ดี
- สภาพคล่อง คือความสามารถในการซื้อขายสินทรัพย์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่กระทบต่อราคาตลาด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเทรด การเลือกเทรดในคู่เงินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EUR/USD จะช่วยลดความเสี่ยงในการเจอกับการเปลี่ยนแปลงของราคาได้เป็นอย่างดี
การจัดการความเสี่ยงในทุกการเทรด
- Lot Size: ปรับแต่งขนาดการลงทุนตามความเสี่ยง
- การเลือก Lot Size ที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งวิธีในการจัดการความเสี่ยง Lot Size ที่ใหญ่เกินไปจะทำให้การขาดทุนต่อการเทรดสูงขึ้น ในขณะที่ Lot Size ที่เล็กเกินไปอาจทำให้ผลกำไรไม่คุ้มกับความเสี่ยง ดังนั้นควรปรับ Lot Size ให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนและความเสี่ยงที่เรายอมรับได้
- การคำนวณ Risk-to-Reward Ratio
- การคำนวณ Risk-to-Reward Ratio (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน) เป็นเทคนิคสำคัญในการเทรด เราต้องตั้งเป้าหมายการทำกำไร (Take Profit) ให้มากกว่าจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) เช่น อัตราส่วน 1:2 หมายความว่าถ้าขาดทุน 1 ส่วน เราควรทำกำไร 2 ส่วน การคำนวณอัตราส่วนนี้แม้จะมีการขาดทุนบ้างเป็นบางครั้งแต่จะไม่ทำพอร์ตแตกอย่างแน่นอน
เป้าหมายการเทรดที่คุณวางไว้ สร้างพอร์ตหรือทำลายพอร์ต?
การตั้งเป้าหมายในการเทรด Forex ก็ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก เพราะเป้าหมายที่คุณวางไว้อาจนำไปสู่การสร้างพอร์ตที่แข็งแรง หรืออาจทำลายพอร์ตของคุณได้หากไม่ระมัดระวัง การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้จริงช่วยให้คุณเทรดอย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกินจำเป็นได้
รูปที่ 2 อธิบายถึงวิธีการตั้งเป้าหมายในการเทรดที่สอดคล้องกับความเป็นจริงพร้อมการการสร้างพอร์ตโดยเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง
- การตั้งเป้าหมายเล็กๆ แต่ทำได้อย่างต่อเนื่อง
- การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง คือการแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนเล็กๆ ที่สามารถทำสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ตั้งเป้าหมายทำกำไร 1-2% ต่อเดือน ซึ่งแม้จะดูเป็นตัวเลขเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะช่วยให้พอร์ตเติบโตอย่างมั่นคง ถ้าหวังกำไรมากๆก็มีโอกาสขาดทุนมากๆเช่นกัน “High risk High return”
- การมองหาโอกาสในช่วงตลาดเงียบ (Low Volatility)
- บางครั้งโอกาสที่ดีที่สุดในการทำกำไรอาจเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ (Low Volatility) การตั้งเป้าหมายในการเทรดไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นที่การทำกำไรสูงสุดในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแรง เพราะถ้ายิ่งตลาดผันผวนมากก็มีโอกาสขาดทุนได้มากเช่นกัน …. ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ในการเทรดด้วย
การสร้างพอร์ตโดยเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน
- หลายคนคิดว่าการเพิ่มเงินทุนจะช่วยให้พอร์ตเติบโตเร็วขึ้น
- ในความเป็นจริงแล้ว การเพิ่มทุนมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนสูงขึ้นด้วย การสร้างพอร์ตที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของการทุ่มเงินทั้งหมด แต่เป็นเรื่องของการวางแผนอย่างรอบคอบ การบริหารความเสี่ยง และการจัดการเงินทุนอย่างสมดุล
- ควรให้ความสำคัญกับ การจัดการเงินทุน มากกว่าการเพิ่มทุน
- เช่น การใช้ Risk-to-Reward Ratio ที่เหมาะสมในการป้องกันการสูญเสียเงินลงทุน โดยให้ทำการตั้ง Stop Loss ไว้ หากเราเทรดอย่างรอบคอบและเน้นการเติบโตที่ยั่งยืน เราจะสามารถสร้างพอร์ตที่แข็งแรงในระยะยาวได้อย่างแน่นอน
ความสำคัญของการเลือกกลยุทธ์ที่ “เหมาะกับตนเอง”
การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเทรด Forex เพราะไม่มีกลยุทธ์ใดที่ใช้ได้ผลเสมอทุกครั้ง ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมีกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับบุคลิก ความถนัด และเป้าหมายของคุณจะช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 3 อธิบายถึงหลักการว่าทำไมกลยุทธ์ที่ “เหมาะกับตนเอง”นั้นถึงสำคัญและทำไมกลยุทธ์นั้นๆจึงอาจจะไม่ได้ผลเสมอไป
ไม่มีกลยุทธ์ใดใช้ได้ผลทุกครั้ง
- การเลือกกลยุทธ์ที่เข้ากับสไตล์การเทรดของคุณ
- การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง คุณควรถามตัวเองว่าเป็นคนที่ชอบการเทรดระยะสั้นหรือระยะยาว? สามารถจัดการกับความผันผวนและแรงกดดันได้ดีแค่ไหน? ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นคนที่ชอบทำกำไรในระยะสั้นและไม่ต้องการถือครองออเดอร์นานๆ กลยุทธ์เช่น Scalping หรือ Day Trading อาจจะเหมาะกับคุณก็ได้ เป็นต้น
- เปรียบเทียบกลยุทธ์ระหว่าง Short-term และ Long-term
- กลยุทธ์ระยะสั้น (Short-term) เช่น Scalping หรือ Day Trading เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเร็วและการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาสั้นๆ ซึ่งต้องใช้เวลาในการเฝ้าติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง
- กลยุทธ์ระยะยาว (Long-term) เช่น Swing Trading หรือ Position Trading มักจะเน้นการวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ๆ ของตลาด โดยผู้เทรดจะถือออเดอร์เป็นเวลานานหลายวันหรือหลายเดือน
กลยุทธ์ที่ผ่านการทดสอบสำคัญอย่างไร?
- การ Backtest และ Forward Test เพื่อประเมินประสิทธิภาพ สำคัญที่สุด!!
- การเลือกกลยุทธ์ที่ดีไม่ใช่เพียงแค่การศึกษาและเข้าใจเท่านั้น แต่ยังต้องทดสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์นั้นก่อนใช้งานจริง การ Backtest เป็นการทดสอบกลยุทธ์กับข้อมูลในอดีต เพื่อดูว่ากลยุทธ์นั้นทำงานอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ในขณะที่ Forward Testing เป็นการทดลองใช้กลยุทธ์ในสถานการณ์จริง เพื่อดูว่าเมื่อใช้ในสภาพตลาดปัจจุบันจะทำงานได้ดีเพียงใด
ควบคุมอารมณ์ของคุณ เพื่อป้องกัน “พอร์ตแตก”
การควบคุมอารมณ์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้พอร์ตการเทรดของคุณเสียหายได้ เพราะการที่เทรดเดอร์มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนหรือมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและทำให้เกิดการขาดทุนอย่างหนักได้ ดังนั้นแล้วการเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์และเทรดตามแผนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณรักษาพอร์ตและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรเป็นอย่างดีเลยครับ
รูปที่ 4 อธิบายการป้องกัน “พอร์ตแตก”จากการใช้ศิลปะแห่งการจัดการอารมณ์กับความสำคัญของการการเทรดตามแผน
ศิลปะแห่งการจัดการอารมณ์
- เทคนิคการทำใจให้สงบก่อนเทรดในวันที่ตลาดผันผวน
- ในวันที่ตลาดมีความผันผวนสูง การทำใจให้สงบและไม่ตื่นตระหนกเป็นสิ่งสำคัญ เทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณสงบจิตใจ ได้แก่ การหยุดพักจากการดูกราฟอย่างต่อเนื่อง การหายใจลึกๆ เพื่อลดความเครียด หรือแม้แต่การทำสมาธิก่อนเริ่มเทรด เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีสติมากขึ้นในการตัดสินใจ
- การหลีกเลี่ยง FOMO (Fear of Missing Out)
- FOMO หรือ Fear of Missing Out คือความกลัวที่จะพลาดโอกาสในการทำกำไร ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์ตัดสินใจอย่างเร่งด่วนหรือผิดพลาด ตัวอย่างเช่น การเห็นคนอื่นทำกำไรได้จากการเทรดและรีบเข้าร่วมตลาดโดยไม่มีการวิเคราะห์ที่เพียงพอ เป็นต้น
- วิธีที่ดีในการหลีกเลี่ยง FOMO คือการยึดมั่นในแผนการเทรดของคุณ และไม่วิ่งตามความสำเร็จของคนอื่น ควรจำไว้ว่าโอกาสในการทำกำไรจะมาเรื่อยๆ การใจเย็นและรอเวลาที่เหมาะสมดีกว่าการรีบเข้าตลาดด้วยความหวังว่าจะได้กำไรเหมือนคนอื่น
การเทรดตามแผนคือเครื่องมือสำคัญ
- วิธีหลีกเลี่ยงการเทรดตามอารมณ์
- การเทรดตามอารมณ์ เช่น ความโลภ ความกลัว หรือความตื่นเต้น สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่ดีได้ ดังนั้นการมี แผนการเทรดที่ชัดเจน จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณตกเป็นเหยื่อของอารมณ์
- แผนการเทรดควรครอบคลุมทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นจุดเข้าออกตลาด การตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit และควรมีการกำหนด Risk-to-Reward Ratio ที่ชัดเจน
- สิ่งสำคัญคือการมีวินัยและปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด ไม่ควรปรับเปลี่ยนแผนตามความรู้สึกในช่วงขณะนั้น เพราะมันอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการขาดทุนมากขึ้นและอาตตะทำให้พอร์ตแตกได้ในที่สุด
อย่าทุ่มทุนทั้งหมดในครั้งเดียว
การทุ่มทุนทั้งหมดในการเทรด Forex ในครั้งเดียวเป็นสิ่งที่เสี่ยงมาก เพราะหากเกิดการขาดทุน อาจทำให้พอร์ตของคุณเสียหายอย่างรุนแรง การกระจายความเสี่ยงเป็นหลักการสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียทุนทั้งหมด การแบ่งทุนออกเป็นส่วนๆ และลงทุนอย่างมีแผนจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในระยะยาวได้
รูปที่ 5 อธิบายถึงเหตุผลว่าการทุ่มทุนทั้งหมดในครั้งเดียวนั้นมข้อเสียอย่างไรและการทำไมการกระจายความเสี่ยงถึงได้สำคัญนัก
หลักการกระจายความเสี่ยง
- หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงจากการสูญเสียทุนทั้งหมดคือการ กระจายทุน ออกเป็นส่วนเล็กๆ และไม่ทุ่มทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว เช่น แทนที่จะลงทุน 100% ของทุนในคู่สกุลเงินเดียว ควรแบ่งทุนออกเป็นหลายส่วนเพื่อลงทุนในคู่สกุลเงินที่หลากหลาย
- ตัวอย่างเช่น หากคุณมีทุน $10,000 แทนที่จะลงทุนทั้งหมดในคู่สกุลเงิน EUR/USD คุณอาจแบ่งทุนออกเป็นส่วนละ 10-20% และกระจายไปลงทุนในคู่สกุลเงินอื่นๆ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY การกระจายเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้ดี…หรือกระจายไปลงทุนในกลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกันก็ได้เช่นกัน
- หลีกเลี่ยงการทุ่มสุดตัว เป็นเรื่องสำคัญ เพราะแม้คุณจะมั่นใจในกลยุทธ์หรือสัญญาณการเทรดขนาดไหน การเทรดเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้ 100% ดังนั้นการทุ่มทุนทั้งหมดในครั้งเดียวไม่เพียงแค่เสี่ยงต่อการขาดทุนครั้งใหญ่ แต่ยังอาจทำให้คุณพอร์ตแตกได้เช่นกัน
หยุด Overtrade ก่อนที่มันจะสายเกินไป
สัญญาณเตือนว่าคุณกำลัง Overtrade
- การเทรดเกินความจำเป็น หากคุณพบว่าตัวเองทำการเทรดบ่อยครั้งมากกว่าที่เคย หรือรู้สึกว่าต้องเทรดตลอดเวลา แม้ว่าไม่มีสัญญาณหรือโอกาสที่ชัดเจน การเทรดอย่างไม่จำเป็นนี้แสดงถึงความพยายามในการหาโอกาสที่ไม่จริงอยู่เสมอ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
- การเพิ่มขนาดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หากคุณรู้สึกไม่พอใจกับการเทรดที่ทำกำไรเพียงเล็กน้อย และเริ่มเพิ่ม Lot Size หรือจำนวนเงินลงทุนมากขึ้น โดยหวังจะได้กำไรที่มากขึ้นในเวลาอันสั้นนั้นแหละคือจุดเริ่มต้นของการล้างพอร์ต
- การพยายามกู้คืนการขาดทุนเร็วเกินไป เมื่อคุณขาดทุน หากคุณเร่งรีบที่จะกลับไปเทรดใหม่ทันทีเพื่อกู้คืนการสูญเสีย การทำเช่นนี้มักทำให้ขาดสติและตัดสินใจผิดพลาดเพิ่มขึ้นได้อย่างง่ายดาย
วิธีหยุด Overtrade และรักษาพอร์ต
- วางแผนการเทรดล่วงหน้าและยึดตามแผน : ก่อนเริ่มเทรด คุณควรมีแผนการเทรดที่ชัดเจน รวมไปถึงการตั้งค่าเป้าหมายกำไร ขาดทุน และจำนวนครั้งที่คุณจะทำการเทรดในแต่ละวันหรือสัปดาห์ การมีแผนจะช่วยควบคุมการตัดสินใจของคุณและป้องกันการเทรดเกินความจำเป็นได้เป็นอย่างดี
- ใช้กฎ 80/20 : กฎ 80/20 บอกว่า 80% ของกำไรของคุณมักจะมาจาก 20% ของการเทรด ดังนั้นคุณควรมุ่งเน้นไปที่การเทรดที่มีโอกาสชนะสูงและไม่พยายามทำการเทรดมากเกินไปโดยไม่จำเป็น การเลือกเทรดเฉพาะที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนจะช่วยลดการ Overtrade ได้
- จำกัดจำนวน Lot Size ที่เหมาะสม : การเพิ่มขนาดการเทรดที่มากเกินไปเป็นสาเหตุหลักของการ Overtrade ควรกำหนดขนาดการลงทุนที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้ และไม่ควรเกินสัดส่วนที่คุณได้วางแผนไว้เป็นอันขาด
บทสรุป
การเทรด Forex คือการเดินทางที่เต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างกำไร แต่ก็ซ่อนความเสี่ยงที่อาจทำให้ “พอร์ตแตก” ได้เช่นกัน การเทรดไม่ใช่เรื่องของโชคหรือการหวังผลเพียงระยะสั้น แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งความรู้ ความระมัดระวัง และการจัดการอารมณ์อย่างมีวินัย การที่คุณเรียนรู้และทำความเข้าใจกับพื้นฐานของตลาด วางแผนการเทรดที่ชัดเจน เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และฝึกฝนการจัดการความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณป้องกันพอร์ตจากการขาดทุนอย่างรุนแรงได้และยังเพิ่มโอกาสในการเติบโตในระยะยาวได้อีกด้วย