จุดตายของเทรดเดอร์ ไม่รู้จะ Take Profit ตรงไหน

ปัญหาใหญ่ของเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่ใช่การเข้าตลาด แต่เป็น “การออกจากตลาด” จากการศึกษาของ Dr. Brett Steenbarger พบว่า 35% ของความล้มเหลวใน การเทรด forex เกิดจากการไม่มีระบบ Take Profit ที่ชัดเจนคุณเคยเจอไหม? กำไรนิดหน่อยรีบปิด แต่ขาดทุนกลับถือยาว รันขาดทุนไป หรือตั้ง TP แล้วราคาวิ่งไปไกลกว่านั้น ก็แสนจะเสียดาย ขายหมู

เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ล้วนมีระบบจัดการกำไรที่เป็นระบบ มาดูเทคนิคจัดการ TP ที่ดีกัน ดังนี้…

1. แนวรับ-แนวต้าน (S/R Level)

เทคนิคง่ายๆ ที่ใช้ได้จริง แนวรับ-แนวต้านเป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพสูงมาก โดยหลักการคือ:

ถ้าเรา Buy ที่ แนวรับ ก็ TP ที่แนวต้าน ถ้าเรา Sell ที่แนวต้าน ก็ TP ที่แนวรับ

ข้อควรรู้

  • เหมาะกับตลาด Sideway ที่มีกรอบการเคลื่อนไหวของราคาชัดเจน ซึ่งตามข้อมูลจาก Investopedia พบว่าตลาดอยู่ในภาวะไซด์เวย์ประมาณ 60-70% ของเวลา
  • ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้กับกราฟ H4 ขึ้นไป เพราะจะกรองสัญญาณหลอกในกรอบเวลาที่ต่ำกว่าออกไป
  • แนวรับ-แนวต้านที่ดี ควรมีการทดสอบอย่างน้อย 2-3 ครั้งในอดีต

วิธีการหาแนวรับ-แนวต้าน

  1. หาจุดที่ราคาเคยกลับตัวหรือหยุดชะงักหลายครั้งในอดีต
  2. ให้ความสำคัญกับแนวที่มี “Multiple Confirmation” คือมีเส้นค่าเฉลี่ย, แนวเส้นเทรนด์ หรือ Fibonacci ซ้อนทับกัน
  3. แนวที่มีปริมาณการซื้อขาย (Volume) สูงจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

ข้อมูลจาก Thomas Bulkowski (Encyclopedia of Chart Patterns) แนวรับ-แนวต้านที่ผ่านการทดสอบซ้ำหลายครั้งทำงานได้แม่นยำ 65-75%

2. โครงสร้างตลาด (Market Structure)

เทคนิคระดับโปร ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างราคา เมื่อโครงสร้างตลาดเปลี่ยน แสดงว่าเทรนด์กำลังจะเปลี่ยนด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการปิดกำไร

โครงสร้างตลาด

  • Break of Structure (BOS): เกิดเมื่อราคาทะลุจุดสูง/ต่ำสำคัญก่อนหน้า
  • Change of Character (CHoCH): การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเคลื่อนไหว เช่น จากการสร้างจุดสูงที่สูงขึ้น (Higher Highs) และจุดต่ำที่สูงขึ้น (Higher Lows) เป็นจุดสูงที่ต่ำลง (Lower Highs) และจุดต่ำที่ต่ำลง (Lower Lows)

วิธีการจัดการ TP

  • ใช้ TF H4 ขึ้นไปเพื่อหลีกเลี่ยง Noise และการอ่านสัญญาณผิด
  • ในเทรนด์ขาขึ้น: ให้ TP เมื่อเห็นจุด Higher High (HH) กลายเป็น Lower High (LH)
  • ในเทรนด์ขาลง: ให้ TP เมื่อเห็นจุด Lower Low (LL) กลายเป็น Higher Low (HL)
  • สังเกตการทะลุของเส้นเทรนด์สำคัญ ซึ่งมักเป็น สัญญาณการเปลี่ยนเทรนด์

ตามงานวิจัยของ Adam Grimes ใน The Art and Science of Technical Analysis พบว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดสามารถเตือนล่วงหน้าถึงการกลับตัวของราคาได้ถึง 60-70%

3. ตัวเลขมหัศจรรย์ (Fibonacci)

เทคนิคที่ได้ผลดี คือ Fibonacci เครื่องมือที่ทรงพลังมากในการหาจุด Take Profit ที่แม่นยำ เพราะตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงพฤติกรรมทางจิตวิทยาของตลาด

การใช้ Fibonacci

  • ระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ: 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, 78.6%
  • ระดับ Fibonacci Extension ที่สำคัญ: 112.78%, 127.2%, 138.2%, 161.8%, 261.8%

วิธีการใช้

  • ถ้า Buy ที่ 61.8% Retracement:
  • ตั้ง TP1 ที่ 112.78% (ลงทุน 50% ของพอร์ต)
  • ตั้ง TP2 ที่ 127.2% (ลงทุน 25% ของพอร์ต)
  • ตั้ง TP3 ที่ 161.8% (ลงทุน 25% ของพอร์ต)

เคล็ดลับ

  • ให้ราคาปิดเหนือแนวต้านใน TF H4 ก่อน แล้วค่อย TP ในแนวถัดไป
  • ถ้าราคาไม่สามารถปิดสูงกว่าแนวสำคัญได้ ให้ TP ออกทันที
  • ถ้าราคาปิดสูงกว่าแนวสำคัญได้ ให้ไปรอ TP ในแนวถัดไปเรื่อยๆ
  • การวาด Fibonacci ต้องวาดจากจุดต่ำสุดไปจุดสูงสุด (ในเทรนด์ขาขึ้น) หรือจากจุดสูงสุดไปจุดต่ำสุด (ในเทรนด์ขาลง)

ข้อมูลจาก Larry Pesavento ในหนังสือ Fibonacci Ratios with Pattern Recognition ค้นพบว่าระดับ Fibonacci เป็นจุดกลับตัวสำคัญในตลาดการเงิน มีความแม่นยำถึง 60% 

4. ไม้ตกใจ (FOMO)

เทคนิคสุดเทพระดับตำนาน FOMO (Fear of Missing Out) คือ สภาวะที่นักลงทุนกลัวตกรถ กลัวพลาดโอกาสตอนราคาขึ้น-ลงแรง ซึ่งใช้เป็นสัญญาณปิดกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวิเคราะห์สภาวะ FOMO

  • เกิดเมื่อราคาเคลื่อนไหวเร็วในทิศทางเดียว ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นเต้นต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
  • มักนำไปสู่การปรับตัวของราคาในทิศทางตรงข้ามในเวลาต่อมา

วิธีรู้ทันตลาด

  • ฝั่ง Buy: เมื่อ RSI เข้าใกล้ 70 ใน TF M1-M15 (ดูพร้อมกัน 3 TF) แสดงว่า ตลาดร้อนแรงเกินไป
  • ฝั่ง Sell: เมื่อ RSI เข้าใกล้ 30 ใน TF M1-M15 (ดูพร้อมกัน 3 TF) แสดงว่า ตลาดขายมากเกินไป

จุดตั้ง Take Profit ที่เหมาะสม

  • เมื่อเราเทรด Buy และเห็น RSI พุ่งเกิน 70 ให้ตั้ง TP ที่จุดนั้นทันที
  • เมื่อเราเทรด Sell และเห็น RSI ลงต่ำกว่า 30 ให้ตั้ง TP ที่จุดนั้นทันที
  • หากมีสัญญาณเพิ่มเติม (ราคาเคลื่อนไหวเร็ว, Volume เพิ่มผิดปกติ, แท่งเทียนใหญ่กว่าค่าเฉลี่ย, ราคาห่างจาก EMA 20) ให้ปิดกำไรทันทีโดยไม่ต้องรอให้ RSI เข้าโซน Extreme

ข้อมูลจาก Dr. Alexander Elder ในหนังสือ Trading for a Living พบว่าเมื่อตลาดมีค่า RSI สูงกว่า 70 (Extreme Overbought) หรือต่ำกว่า 30 (Extreme Oversold) จะเกิดการปรับตัวกลับ 70-80% ของกรณี

5. ราคาโดนปฏิเสธ (Rejection)

เทคนิคลับที่โปรใช้: สังเกตแท่งเทียนปฏิเสธทิศทาง เป็นสัญญาณปิดกำไรที่มีประสิทธิภาพสูง

กลยุทธ์ TP ด้วย Rejection

  • เมื่อเทรด Buy และเห็นแท่งเทียนที่มีไส้ยาวด้านบน (แท่ง Sell Rejection) = ตั้ง TP ทันที
  • เมื่อเทรด Sell และเห็นแท่งเทียนที่มีไส้ยาวด้านล่าง (แท่ง Buy Rejection) = ตั้ง TP ทันที
  • ใช้กับ TF M30 ขึ้นไปเพื่อความน่าเชื่อถือ

ข้อมูลจาก Steve Nison ผู้เขียนหนังสือ Japanese Candlestick Charting Techniques พบว่ารูปแบบแท่งเทียน Pin Bar และ Shooting Star สามารถบ่งชี้จุดกลับตัวได้แม่นยำ 55-65% เมื่อเกิดที่จุดสำคัญทางเทคนิค

คลิปที่น่าสนใจ

วินาทีที่สำคัญ มีดังนี้

  • 0:35 Ex.การเข้าเทรด
  • 3:02 การกำหนด TP
  • 4:14 ตั้ง TP 1 จุดสูงสุดแรก
  • 17:26การใช้ Bollinger Bands กำหนด TP
  • 22:27 วิธีดู Market Order ที่ราคาอยู่เหนือปัจจุบัน

สรุป

การตั้ง TP อย่างเป็นระบบมีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวกำหนดกำไรสุทธิในระยะยาว ความผิดพลาดในการตั้ง TP เพียง 35% สามารถทำให้พอร์ตการลงทุนล้มเหลวได้จึงไม่ควรมองข้าม

  • ตั้ง TP หลายระดับ – ตลาดไม่เคยวิ่งตรงเส้น การตั้งหลายเป้าหมายช่วยให้คุณได้กำไรในทุกสถานการณ์
  • ใช้ R อย่างน้อย 1:2 – ต้องได้กำไรเป็น 2 เท่าของความเสี่ยง แม้ Win Rate 40% ก็ยังทำกำไรระยะยาวได้
  • วางแผน TP ก่อนเข้าเทรด – ไม่ใช่คิดตอนอยู่ในตลาด เพราะอารมณ์จะบดบังการตัดสินใจ
  • ผสมผสานหลายกลยุทธ์ – ใช้หลายเทคนิคร่วมกันเพื่อปรับตัวกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
  • มีวินัยปฏิบัติตามแผน – 80% ของความสำเร็จมาจากจิตวิทยาและการบริหารเงิน ไม่ใช่กลยุทธ์การเข้า-ออก

FAQ — 5 กลยุทธ์ตั้ง Take Profit (TP) แบบไม่ปล่อยให้กำไรหาย

เป็นไปได้ยากมากที่จะขายได้จุดสูงสุด/ต่ำสุดเป๊ะๆ ถ้าจะให้เจ็บใจน้อยที่สุด ก็ต้อง “แบ่งปิด” กำไร (Partial Take Profit) เมื่อถึง TP แรก และเลื่อน Stop Loss ไปที่ Break Even หรือตามราคาขึ้นไป (Trailing Stop) เพื่อล็อกกำไรบางส่วนไว้ และเปิดโอกาสไว้ ให้รันต่อได้ถ้าราคายังไปต่อ จะซอยเป็น 50-50 ก็ได้ 
Fibonacci เป็นแค่เครื่องมือที่อิงกับสัดส่วนทางคณิตศาสตร์ สะท้อนจิตวิทยาตลาดได้บ้าง เพราะคนใช้กันทั้งโลก แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลขศักดิ์สิทธิ์ที่ราคาต้องมาถึงเป๊ะๆ คนนิยมใช้กันมากตอนราคาทำ All Time High เพราะไม่มีแนวต้านอีกแล้ว ก็ใช้แนวฟีโบหาเป้าแทน แนะนำให้ตั้ง TP เป็นช่วงราคา (Zone) แทนที่จะเป็นราคาเดียว และการแบ่งปิดกำไรเมื่อถึงแนวสำคัญ จะเป็นกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นกว่า
ตามทฤษฎี Risk-Reward 1:2 หรือมากกว่า ฟังดูดี แต่พอเทรดจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถามว่าควรยอมเอากำไรน้อยๆ ชัวร์ๆ ไหม? ตอบตรงๆ คือ “บางครั้งก็ได้” แต่ต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ปิดเพราะกลัวเฉยๆ ถ้าเซ็ตอัพมันไม่แข็งแรงพอ หรือโครงสร้างตลาดมันบอกว่าคงไปได้ไม่ไกล การลด TP ลงนิดหนึ่ง หรือแบ่งปิดบางส่วน แล้วปล่อยที่เหลือวิ่งต่อ ก็เป็นทางเลือกที่มืออาชีพเขาทำกัน สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลด Risk-Reward ลงจนเสียระบบระยะยาว เพราะสุดท้ายตลาดวัดกันที่เกมยาว ไม่ใช่แค่กำไรครั้งเดียว
จริงๆก็ทำได้แต่ไม่แนะนำ เพราะตลาดไม่ได้แคร์ว่าเราจะอยากได้กี่เปอร์เซ็นต์ การตั้ง TP ควรยึดตามโครงสร้างราคา, แนวรับ/แนวต้าน หรือ Risk-Reward Ratio มากกว่า ส่วน % ของพอร์ตเอาไว้เป็นเป้าหมาย “วางแผนการเงิน” พอ เช่น เดือนนี้อยากได้ +10% แต่ไม่ควรเอามาใช้ตัดสินใจปิดกำไรแบบรีบๆ
ได้ นิยมมากโดยเฉพาะสายรันเทรนด์ (Trend Following) เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าราคาจะไปได้ไกลแค่ไหน การไม่ตั้ง TP ตายตัว แต่ใช้ Trailing Stop ช่วยเลื่อนตามราคา จะเปิดโอกาสให้ “เก็บกำไรให้สุดทาง” ควรใช้ Trail Stop แบบมีหลักการ เช่น ตามเส้น EMA 20, EMA 50 หรือใช้ระยะ 1-2 ATR เพื่อเผื่อระยะหายใจ ไม่โดนสะบัดหลุดง่ายๆ ถ้าตั้งชิดเกินไป โอกาสโดนลากออกกลางทางมีสูง เทคนิคอีกอย่างคือค่อยๆ เลื่อน Stop ขึ้นตามจุด Swing Low (ขาขึ้น) หรือ Swing High (ขาลง) ไปเรื่อยๆ เทรนด์ไหนแรง ก็อยู่กับมันไปนานๆ อย่าไปปิดเร็วเองถ้าไม่จำเป็น

เขียนโดย

Somchai Witthtaya

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon