ถ้าหากคุณเป็นมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของ Forex การทำความเข้าใจคำศัพท์พื้นฐานถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด…การเทรด Forex นั้นไม่ใช่แค่การดูกราฟหรือคลิกซื้อขาย แต่การเข้าใจคำศัพท์เฉพาะจะช่วยให้คุณอ่านบทวิเคราะห์ตลาด เข้าใจบทเรียน หรือแม้กระทั่งสื่อสารกับเทรดเดอร์คนอื่นได้อย่างคล่องตัวนั่นเองครับ
ดังนั้น หากคุณอยากเริ่มต้นเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าข้ามการเรียนรู้คำศัพท์พื้นฐานเป็นอันขาด และในบทความนี้ เราได้ทำการรวบรวม 20 ศัพท์ Forex ที่ใช้บ่อยที่สุด พร้อมคำอธิบายง่ายๆและตัวอย่างให้เข้าใจได้ทันที เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับการเริ่มต้นในการเทรด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะมีเนื้อหาอย่างไรไปรับชมกันได้เลยครับ
เริ่มต้นกับ 5 ศัพท์พื้นฐาน Forex ที่ต้องรู้
รูปที่ 1 เริ่มต้นกับ 5 ศัพท์พื้นฐาน Forex ที่ต้องรู้ เกี่ยวกับ pip ,lot ,leverage ,margin และ Spread
Pip คำเล็กๆ แต่มีผลที่ยิ่งใหญ่
Pip ย่อมาจาก “Percentage in Point” หรือ “Point in Percentage” คำนี้คือหน่วยเล็กที่สุดในการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่สกุลเงินในตลาด Forex (ไม่นับรวม Point) คิดง่ายๆ ว่ามันคือเศษสตางค์ในโลกแห่งการเทรด แต่เจ้าคำเล็กๆ นี้แหละที่อาจทำให้คุณยิ้มกว้างได้หรือร้องไห้ก็ได้เช่นกันครับ
ตัวอย่าง
- หากราคา EUR/USD เปลี่ยนจาก 1000 เป็น 1.1001 แสดงว่าราคาเพิ่มขึ้น 1 Pip
- ถ้าคุณซื้อขายด้วยเงินทุนขนาดใหญ่ (Leverage เข้ามาเกี่ยว) 1 Pip อาจแปลเป็นหลายพันบาทได้เลยทีเดียวครับ
Lot Size หรือ ขนาดของการเทรด
Lot คือหน่วยวัดขนาดของการเทรดในตลาด Forex เปรียบเหมือนคุณซื้อของในตลาดที่มีหน่วยบรรจุ เช่น กิโลกรัม หรือ แพ็ค ในชีวิตจริงนั้นแหละครับ
ประเภทของ Lot
- Standard Lot: 100,000 หน่วยของสกุลเงิน
- Mini Lot: 10,000 หน่วย
- Micro Lot: 1,000 หน่วย
ตัวอย่างการใช้ Lot และ Pip ในคู่เงิน EUR/USD
สมมติคุณกำลังเทรดคู่เงิน EUR/USD และนี่คือสถานการณ์สมมุติ
- เลือกขนาด Lot
- Standard Lot (1 Lot) = 100,000 หน่วยของสกุลเงิน
- สมมติคุณเปิดออเดอร์ Buy EUR/USD ที่ราคา 1000 ด้วย 1 Lot
- การคำนวณ Pip Value (มูลค่าของ Pip)
ในคู่เงิน EUR/USD
- 1 Pip คือการเปลี่ยนแปลงที่ตำแหน่งทศนิยมที่ 4 (0.0001)
- สูตรคำนวณมูลค่า 1 Pip มูลค่า Pip=ขนาด Lot×การเปลี่ยนแปลงของ Pip
- มูลค่าPip = 100,000 × 0001 = 10USD ต่อ Pip
Leverage ตัวคูณหรือพลังทวี
Leverage เป็นเหมือน “ตัวคูณเงินทุน” ที่ช่วยให้คุณเปิดออเดอร์ใหญ่ได้ด้วยเงินทุนเล็ก เช่น ถ้า Leverage 1:100 หมายความว่า คุณสามารถควบคุมการเทรดมูลค่า 100,000 ด้วยเงินเพียง 1,000 บาท หรือ ก็คือ “ทุนx Leverage”
- ข้อดี คือขยายกำไรได้เร็วถ้าเทรดถูกทาง
- ข้อเสียคือ Leverage สูง = ความเสี่ยงสูง ถ้าพลาดอาจสูญเงินทั้งหมดในพริบตา!
Margin เงินประกัน หรือ “หลักประกัน” ในการเทรด
Margin คือเงินที่คุณต้องวางไว้ในบัญชีเพื่อเปิดออเดอร์ คิดเสียว่าเป็น “เงินมัดจำ” ให้โบรกเกอร์มั่นใจว่าคุณมีเงินพอจ่ายหนี้นั้นแหละครับ
ตัวอย่าง ถ้า Leverage 1:100 และคุณต้องการเปิดออเดอร์ 1 Lot (มูลค่า 100,000) คุณต้องวาง Margin เพียง 1,000 บาท เป็นต้น
Spread ค่าช่องว่างระหว่างราคารับซื้อและขาย
Spread คือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask) ซึ่งเป็นรายได้ของโบรกเกอร์
ตัวอย่าง
- Bid = 1.1000
- Ask = 1.1003
- Spread = Bid-Ask = 3 Pip
ทำไมต้องรู้?
- Spread ที่ต่ำ = ค่าธรรมเนียมน้อยกว่า
- เหมาะกับนักเทรดระยะสั้น (Scalper) ที่ต้องการกำไรจากการขยับของราคาเล็กๆ
5 ศัพท์สำคัญ ที่นักเทรดต้องเข้าใจ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว
รูปที่ 2 5 ศัพท์สำคัญ ที่นักเทรดต้องเข้าใจ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว เช่น SL ,TP ,DD ,Equity และ Balance
Stop Loss เบรคฉุกเฉิน ลดความเสี่ยงก่อนพอร์ตจะแหก
Stop Loss หรือ SL คือคำสั่งปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาสวนทางเกินกว่าที่คุณจะรับไหว เปรียบเหมือนเบรคฉุกเฉินในรถยนต์ที่ช่วยหยุดไม่ให้พอร์ตของคุณลื่นไถลไปชนกำแพงขาดทุนจนพัง
ตัวอย่าง
- คุณซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1000 และตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 1.0950 ถ้าราคาลงมาถึง 1.0950 ออเดอร์จะปิดทันที
ข้อดี
- ลดความเสี่ยงใรการล้างพอร์ตได้
- ช่วยควบคุมอารมณ์ ไม่ต้องลุ้นจนเครียด
ข้อเสีย
- ตั้งใกล้เกินไปอาจปิดเร็วเกินจำเป็นและอาจจะทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร
Take Profit เป้าหมายกำไร ต้องตั้งไว้ ช้าไปอาจไม่ทัน
Take Profit หรือ TP คือคำสั่งปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาถึงเป้าหมายกำไรที่คุณตั้งไว้ คล้ายกับการเก็บผลไม้เมื่อสุกเต็มที่ ถ้าไม่ตั้งไว้ คุณอาจพลาดกำไรเพราะความโลภหรือรอจนราคาย้อนกลับไปจนขาดทุน
ตัวอย่าง
- คุณซื้อ GBP/USD ที่ราคา 2500 และตั้ง Take Profit ไว้ที่ 1.2550 เมื่อราคาขึ้นไปถึง 1.2550 ออเดอร์จะปิดและคุณจะได้กำไรทันที
ข้อดี
- ล็อคกำไรได้ชัวร์
- ลดการตัดสินใจในช่วงตลาดผันผวน
ข้อเสีย
- อาจจะพลาดโอกาสในการทำกำไรที่มากกกว่านี้ (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์)
Drawdown เจ็บแต่ไม่จบ ช่วงพอร์ตติดลบที่ต้องทำใจ
หรือ DD คือการลดลงของมูลค่าพอร์ตจากจุดสูงสุดมาจุดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง เปรียบเสมือน “บาดแผล” ของพอร์ตที่บอกว่าสถานการณ์เคยยำแย่แค่ไหนซึ่งก็จะมีหลายประเภทด้วยกัน
ตัวอย่าง
- หากคุณมีทุน 10,000 บาท และมูลค่าพอร์ตลดลงเหลือ 7,000 บาท Drawdown คือ 30%
ทำไมต้องรู้?
- ช่วยประเมินความเสี่ยงในกลยุทธ์ที่ใช้
- ถ้าพอร์ตมี Drawdown สูง แปลว่ากลยุทธ์อาจไม่เหมาะสมกับเรา
Equity มูลค่ารวมของพอร์ต ดูดีๆ ก่อนเทรดต่อ
Equity คือมูลค่ารวมของพอร์ตในขณะนั้น ซึ่งคำนวณจาก Balance (เงินในบัญชี) บวกหรือหักลบกับกำไร/ขาดทุนที่ “ยังไม่ปิด”
สูตรง่ายๆ
- Equity = Balance + Floating P/L
ตัวอย่าง:
- Balance = 10,000 บาท
- กำไรที่ยังไม่ปิด (Floating Profit) = +2,000 บาท
- Equity = 12,000 บาท
สำคัญเพราะ ?
- Equity เป็นตัวชี้วัดสภาพการเงินในพอร์ตของคุณ
- ช่วยตัดสินใจว่าควรเปิดหรือปิดออเดอร์ใหม่หรือไม่
Balance เงินทุนของคุณในบัญชี
Balance คือยอดเงินในบัญชีที่ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนของออเดอร์ที่ยังเปิดอยู่ เป็นตัวเลขที่ “แน่นอน” ในพอร์ต
ตัวอย่าง
- หลังจากคุณปิดทุกออเดอร์ Balance คือยอดเงินที่เหลือในบัญชี
สำคัญเพราะ ?
- ใช้เป็นฐานในการคำนวณการเปิดออเดอร์ใหม่
- ถ้าดูแค่ Balance โดยไม่สน Equity อาจทำให้มองสถานการณ์ผิด
5 ศัพท์สำหรับสายเทคนิค ที่จะทำให้คุณดูเป็นโปรเพลเยอร์
รูปที่ 3 5 ศัพท์สำหรับสายเทคนิค ที่จะทำให้คุณดูเป็นโปรเพลเยอร์ เช่น Trend ,Indy Candlestick และ Breakout
Trend เทรนด์ หรือ แนวโน้มตลาด ตัวช่วยชี้นำทาง
Trend คือการเคลื่อนไหวของราคาที่มีแนวโน้มไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ขาขึ้น (Uptrend), ขาลง (Downtrend), หรือ ไซด์เวย์ (Sideway) การเข้าใจเทรนด์เปรียบเสมือนการเดินตามลม จะทำให้เทรดได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่าง
- Uptrend: ราคาสร้างจุดสูงสุด (Higher High) และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม
- Downtrend: ราคาสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) และจุดสูงสุดลดลง
เคล็ดลับสู่มือโปร
- ใช้ Trendline วาดเส้นช่วยดูแนวโน้ม
- อย่าขัดเทรนด์! เทรดตามเทรนด์ปลอดภัยกว่า
Support & Resistance แนวรับและแนวต้านสำคัญ
- Support (แนวรับ) คือระดับราคาที่มักจะหยุดร่วงลง
- Resistance (แนวต้าน) คือระดับราคาที่มักจะหยุดขึ้น
ตัวอย่างง่ายๆ
- ถ้าราคา EUR/USD ไม่เคยตกต่ำกว่าระดับ 1000 ในช่วงเวลาใดๆ นั่นคือ แนวรับ
- ถ้าราคา EUR/USD ไม่เคยขึ้นสูงกว่า 2000 ในช่วงเวลาใดๆ นั่นคือ แนวต้าน
ทำไมสำคัญ ?
- แนวรับ-แนวต้านช่วยบอกจุดเข้าและออกที่ดี
- การทะลุแนวรับ-แนวต้านอาจเป็นสัญญาณของการเริ่มเทรนด์ใหม่
Indicator อินดี้ เครื่องมือวิเศษช่วยวิเคราะห์ตลาด
Indicator หรือ อินดี้ คือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลราคาในรูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยตัดสินใจ เช่น การดูแนวโน้ม, จุดเข้าออก หรือความผันผวนมีวิธีการคำนวนและวิธีใช้งานแตกต่างกันไป
ตัวอย่าง Indicator ยอดนิยม
- Moving Average (MA): ดูแนวโน้มของราคา
- Relative Strength Index (RSI): วัดความแข็งแรงของแนวโน้มและจุด Overbought/Oversold
เคล็ดลับสู่มือโปร
- ใช้ Indicator ให้เหมาะกับสไตล์ เช่น Scalping หรือ Swing Trading
- อย่าใช้หลายตัวเกินไป เลือกที่เข้าใจง่ายและได้ผลดี
Candlestick แท่งเทียนสุดคลาสสิก อ่านกราฟให้ทะลุ
Candlestick คือกราฟแสดงราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ประกอบด้วย Open, High, Low, Close ที่สำคัญคือแต่ละแท่งมีความหมายและยังเป็นที่นิยมสุดๆไปเลย
ตัวอย่างลักษณะของแท่งเทียน เบื้องต้น
- Bullish Engulfing: สัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น
- Doji: บอกถึงความลังเลของตลาด อาจมีการเปลี่ยนเทรนด์
- Hammer: สัญญาณขาขึ้นหลังจากการลดลงของราคา
เคล็ดลับสู่มือโปร
- เรียนรู้ Pattern พื้นฐาน เช่น Head & Shoulders หรือ Double Bottom อื่นๆ
- ใช้ร่วมกับแนวรับ-แนวต้าน หรือ Indy เพื่อความแม่นยำ
Breakout การทะลุแนวรับ/ต้าน เป้าหมายใหญ่รอเราอยู่
Breakout คือการที่ราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ตัวอย่าง
- ราคาทะลุแนวต้านเดิม (Resistance) = สัญญาณการเริ่มเทรนด์ขาขึ้น
- ราคาทะลุแนวรับเดิม (Support) = สัญญาณการเริ่มเทรนด์ขาลง
ทำไมต้องรู้ ?
- Breakout ช่วยบอกจังหวะเข้าเทรดที่สำคัญ
เคล็ดลับสู่มือโปร
- ใช้ Volume ยืนยันการ Breakout ถ้า Volume สูง มีโอกาสไปต่อ
- ระวัง False Breakout: ราคาอาจกลับมาทันทีหลังทะลุ
5 ศัพท์สุดท้ายที่มือใหม่ต้องรู้ ก่อนเลือกโบรกเกอร์
รูปที่ 4 5 ศัพท์สุดท้ายที่มือใหม่ต้องรู้ ก่อนเลือกโบรกเกอร์ ตั้งอต่ โบรกเกอร์คืออะไร Swap ,Commission , Account Type และ Slippage
Broker ตัวกลางที่พาคุณเข้าสู่ตลาด Forex ต้องเลือกดีๆ
Broker คือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนักเทรดกับตลาด Forex เปรียบเสมือนประตูที่พาคุณเข้าสู่โลกการเทรด หากเลือก Broker ดี คุณจะได้การบริการและความน่าเชื่อถือที่ช่วยให้เทรดง่ายขึ้น แต่ถ้าเลือกผิด…อาจเสียเงิน(โดนโกง)ไปแบบไม่รู้ตัว
เคล็ดลับเลือก Broker
- ดูความน่าเชื่อถือ: มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแล เช่น FCA, ASIC, หรือ CySEC
- ตรวจสอบค่า Spread และ Commission ว่าเหมาะสมหรือไม่
- อ่านรีวิวจากนักเทรดคนอื่นๆหรือดูรีวิวจากเว็บเรานี่แหละ
Swap ดอกเบี้ยข้ามคืน จะได้หรือจะเสีย
Swap คือดอกเบี้ยที่เกิดจากการถือสถานะข้ามคืน ซึ่งโบรกเกอร์จะคิดตามอัตราดอกเบี้ยระหว่างสกุลเงินที่คุณเทรด
ตัวอย่าง
- ถ้าคุณซื้อ EUR/USD และถือข้ามคืน คุณอาจต้องจ่าย Swap ถ้าอัตราดอกเบี้ยของ EUR ต่ำกว่า USD เป็นต้น
สิ่งที่ควรรู้
- Swap อาจเป็นบวก (ได้ดอกเบี้ย) หรือเป็นลบ (เสียดอกเบี้ย)
- สำหรับสายเทรดยาว (Swing Trading) หรือสายถือข้ามคืน ต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
Commission ค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์คิด อย่ามองข้าม
Commission คือค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เรียกเก็บสำหรับการเปิด-ปิดออเดอร์ โดยมักจะเรียกเก็บในบัญชีประเภท ECN หรือบัญชีที่มี Spread ต่ำๆ
ทำไมต้องใส่ใจ?:
- บางโบรกเกอร์ให้ Spread ต่ำ แต่คิด Commission สูง
- Commission มีผลต่อกำไรของคุณโดยตรง โดยเฉพาะถ้าคุณเทรดบ่อย
คำแนะนำ
- เปรียบเทียบ Commission ของโบรกเกอร์หลายๆ รายก่อนเลือก
Account Type ประเภทบัญชี เลือกให้เหมาะกับตัวเอง
Account Type หรือประเภทบัญชีคือรูปแบบบัญชีที่โบรกเกอร์เสนอให้นักเทรดเลือก เช่น
- Standard Account: เหมาะกับมือใหม่ Spread อาจสูงกว่าเล็กน้อย แต่ไม่มี Commission
- ECN Account: Spread ต่ำ เหมาะกับนักเทรดที่เน้นความแม่นยำในการเข้า-ออก
- Islamic Account: ไม่มี Swap สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการดอกเบี้ยแบบอิสลาม
- Demo Account: บัญชีแบบทดลอง ไม่ต้องเสียเงินเทรดจริง…กำไรก็ไม่ได้จริงเช่นกันฮ่าๆ
ตัวอย่างวิธีการเลือก
- มือใหม่ เริ่มจาก Standard Account หรือ Demo Account เพื่อความง่าย
- สาย Scalping อาจจะต้องลองใช้ ECN Account เพื่อ Spread ต่ำ
Slippage คำแสลงใจ ช่วงที่ราคาขยับไวเกินจะควบคุม
Slippage คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณตั้งใจจะเข้า (หรือออก) กับราคาที่คำสั่งถูกดำเนินการจริง ซึ่งมักเกิดในช่วงตลาดผันผวนสูงหรือเกิดข่าวสำคัญมากๆที่ส่งผลต่อสกุลเงิน
ตัวอย่าง
- คุณตั้งใจซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1000 แต่ตลาดผันผวนจนคำสั่งเปิดที่ 1.1010
วิธีป้องกัน Slippage
- ใช้บัญชีประเภท ECN ที่มีการดำเนินคำสั่งรวดเร็ว
- หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีข่าวแรงๆ
สรุป
การรู้จักและเข้าใจศัพท์ Forex เหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับมือใหม่ทุกคน เพราะคำศัพท์เหล่านี้เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถสื่อสารและวางแผนการเทรดได้อย่างมั่นใจ ตั้งแต่การเข้าใจแนวโน้มตลาด การจัดการความเสี่ยง ตลอดไปจนถึงการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม หากคุณจดจำและใช้งานคำศัพท์เหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่ว คุณก็พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเทรด Forex ด้วยความมั่นใจ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ