1. เข้าใจพื้นฐาน Forex ก่อนลงสนามจริง

  • Forex คือ ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินระหว่างประเทศ ที่เราซื้อขายโดยเปรียบเทียบค่าเงินสองสกุล
  • Base Currency คือสกุลเงินหลักที่เราซื้อขาย และ Quote Currency คือสกุลเงินที่เทียบค่า
  • ค่า Pip คือหน่วยเล็กที่สุดในการเคลื่อนไหวของราคา Lot คือปริมาณการซื้อขาย
  • Leverage คือเครื่องมือเพิ่มขนาดการลงทุน แต่ต้องเข้าใจความเสี่ยง Margin คือเงินที่ต้องใช้รองรับการเทรด
  • การเข้าใจพื้นฐานจะช่วยให้เห็นภาพรวมตลาดและการตัดสินใจแม่นยำขึ้น
  • ตัวอย่างง่ายๆ ถ้า EUR/USD = 1.1000 และซื้อ 0.1 lot ราคาเพิ่ม 10 pip จะได้กำไรประมาณ 10 ดอลลาร์
  • การเรียนรู้พื้นฐานก่อนเริ่มจริงช่วยลดความสับสนและการสูญเสีย

2. เลือกโบรกเกอร์ Forex ที่เหมาะสม

  • ตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีใบอนุญาตจากหน่วยงานทางการเงิน 
  • เลือกประเภทบัญชีที่ตรงกับสไตล์ 
    • A-Book เหมาะกับ Scalping 
    • B-Book เหมาะกับเทรดทั่วไป
  • เช็คค่า Spread ค่าคอมมิชชั่นและ Swap ให้ตรงกับกลยุทธ์ของเรา
  • ดูรีวิวและความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์จากผู้ใช้งานจริง
  • ทดลอง บัญชี Demo ก่อนเปิดเงินจริงเพื่อตรวจสอบระบบการฝากถอนและแพลตฟอร์ม
  • เลือกโบรกเกอร์ที่มีการบริการลูกค้ารวดเร็วและตอบข้อสงสัยชัดเจน
  • การเลือก โบรกเกอร์ที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงและทำให้เทรดได้อย่างมั่นใจ เอาง่าย ๆ ไม่ต้องกลัวว่าโบรกเกอร์จะปิดหนี 

ภาพที่เผยถึง พื้นฐานของการเทรด Forex จะต้องรู้ว่า อะไรคือ Base และ Quote Currency ถ้าจะ Buy หรือ Sell เราจะได้ราคาไหน ต้องรู้พื้นฐานเรื่องนี้ให้แน่น 

แนะนำโบรกเกอร์ที่น่าสนใจจาก Thaibrokerforex.com

3. ตั้งเป้าหมายและวางแผนการเทรด

  • กำหนดเป้าหมายรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือนอย่างชัดเจน
  • วางแผน Risk-Reward ให้เหมาะสม เช่น เสี่ยง 1% ต่อการเทรด กำไรเป้าหมาย 2-3%
  • ระบุจำนวนออเดอร์สูงสุดต่อวันเพื่อควบคุมความเสี่ยง
  • วางกฎการออกจากตลาดทั้งเมื่อกำไรและขาดทุนเกินที่กำหนด
  • การมีแผนช่วยลดการตัดสินใจตามอารมณ์
  • เป้าหมายที่ชัดเจนทำให้ติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น
  • การวางแผนอย่างรอบคอบช่วยให้การเทรดมีวินัยและสม่ำเสมอ

4. เปิดบัญชี Demo ก่อนเสี่ยงเงินจริง

  • บัญชี Demo ช่วยให้ฝึกใช้คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit โดยไม่เสียเงินจริง
  • ทดลองกลยุทธ์และดูพฤติกรรมราคาจริงบนแพลตฟอร์ม
  • ฝึกอ่านกราฟและวิเคราะห์แนวโน้มได้อย่างปลอดภัย
  • ใช้เพื่อปรับขนาด Lot และความเสี่ยงให้เหมาะสมกับพอร์ต
  • สามารถบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดเพื่อต่อยอด
  • ตัวอย่างเช่น การฝึกเทรด EUR/USD 2 เดือนช่วยให้เข้าใจรูปแบบราคา
  • การเริ่มจาก Demo ลดความเครียดและเพิ่มความมั่นใจก่อนเทรดจริง

ภาพแสดงข้อมลการจัดอันดับโบรกเกอร์ที่ดีที่สุด จาก Thaibrokerforex.com โดยจะมีเรื่องของความน่าเชื่อถือ และ ความน่าใช้งาน เป็นเรื่องเด่น ๆ

5. เรียนรู้การอ่านกราฟและแนวโน้ม

  • เข้าใจแนวโน้มตลาดว่าเป็นขาขึ้น ขาลง หรือ Side Way
  • ระบุระดับ Support และ Resistance เพื่อหาจุดเข้าออก
  • รู้จัก Candlestick Patterns พื้นฐาน เช่น Pin Bar, Doji, Engulfing
  • ฝึกจับสัญญาณกลับตัวและต่อเนื่องของราคา
  • การอ่านกราฟช่วยให้เข้าใจแรงซื้อแรงขายในตลาด
  • ใช้กราฟเป็นเครื่องมือวิเคราะห์และตัดสินใจแทนการเดา
  • การอ่านกราฟแม่นยำช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและลดความเสี่ยง

6. ศึกษา Technical Indicator เบื้องต้น

  • RSI ใช้วัดความแรงและจุดซื้อขายเกินหรือขายเกิน
  • MACD ใช้ดูแนวโน้มและสัญญาณกลับตัว
  • Moving Average ช่วยระบุแนวโน้มระยะสั้นและยาว
  • Bollinger Bands ใช้ดูความผันผวนและแนวรับแนวต้านแบบ Dynamic
  • ใช้ Indicator เป็นตัวช่วยยืนยันสัญญาณจากกราฟราคา
  • อย่าใช้ Indicator หลายตัวจนสับสนและขัดแย้งกัน
  • การเข้าใจ Indicator ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าตลาด

การตั้งเป้าหมาย และ วางแผนการเทรด อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คุณกลายเป็นมืออาชีพ แน่นอนเลยว่า หากมีแผนก็จะรักษาระดับในการสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

7. เข้าใจ Fundamental Analysis

  • ติดตามข่าวเศรษฐกิจและตัวเลขสำคัญ เช่น NFP CPI ดอกเบี้ย
  • วิเคราะห์ผลกระทบต่อค่าเงิน เช่น USD แข็งค่าหรืออ่อนค่า
  • พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงินหลักและข่าวสำคัญ
  • ใช้ข่าวประกอบการตัดสินใจ ไม่ควรเทรดตามข่าวเพียงอย่างเดียว
  • รู้ช่วงเวลาเปิดตลาดที่มีข่าวสำคัญเพื่อลดความเสี่ยง
  • ตัวอย่าง การประกาศ NFP สูงกว่าเดิมทำให้ USD แข็ง ก็สามารถพิจารณา Short หรือ กด Sell EUR/USD
  • Fundamental Analysis ช่วยให้เข้าใจแรงขับเคลื่อนตลาดในระยะยาว

8. วางแผน Risk Management

  • กำหนดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงต่อออเดอร์ เช่น 1-2% ของพอร์ต
  • ใช้ Stop Loss ทุกครั้งเพื่อลดการสูญเสีย
  • คำนวณขนาด Lot ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงและบัญชี
  • แยกเงินสำรองเพื่อรับมือความผันผวนที่ไม่คาดคิด
  • ติดตาม Floating Loss และปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
  • การบริหารความเสี่ยงช่วยรักษาพอร์ตให้ยาวนาน
  • Risk Management ที่ดีทำให้เทรดได้อย่างมั่นใจและมีระเบียบ

9. เลือกกลยุทธ์เทรดที่เหมาะกับตัวเอง

  • เข้าใจประเภทกลยุทธ์
    • Scalping
    • Day Trading
    • Swing, Position 
    • เลือกตามเวลาที่มีและความพร้อมของตัวเอง
  • ทดลองกลยุทธ์บนบัญชี Demo เพื่อดูผลลัพธ์และปรับให้เข้ากับสภาพตลาดจริง
  • ศึกษาผลลัพธ์ย้อนหลังเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์
  • กลยุทธ์ที่เหมาะสมช่วยให้ตัดสินใจเร็วและแม่นยำมากขึ้น
  • การยึดกลยุทธ์เดียวแต่ปรับตามสถานการณ์ลดความสับสนในการเทรด
  • มือใหม่ควรเริ่มจาก Swing Trade รอสัญญาณแนวโน้มยาวเพื่อลดความเครียดและการเสี่ยง
  • การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเองทำให้เทรดได้อย่างมั่นใจและสม่ำเสมอ

ถ้าจะเทรด Forex หรือ เทรดสินค้าต่าง ๆ นักเทรดก็จะต้องรู้พฤติกรรมของราคา พร้อมทั้งเข้าใจว่า แท่งเทียนแต่ละแท่งนั้นสื่อถึงอะไร 

10. ฝึก One-Click Trading และการใช้คำสั่งอัตโนมัติ

  • ทำความเข้าใจคำสั่ง Market Order และ Pending Order เพื่อเปิดปิดออเดอร์ได้อย่างรวดเร็ว
  • ตั้ง Pending Order เช่น Buy Stop หรือ Sell Stop เพื่อให้ระบบเปิดอัตโนมัติเมื่อราคาถึงเป้าหมาย
  • ใช้คำสั่งอัตโนมัติเพื่อลดความผิดพลาดจากการตัดสินใจช้า
  • ฝึกใช้ Stop Loss และ Take Profit ร่วมกับ Pending Order เพื่อควบคุมความเสี่ยง
  • การใช้ One-Click ทำให้สามารถเข้าตลาดได้ทันใจและไม่พลาดโอกาส
  • การเทรดอัตโนมัติช่วยควบคุมอารมณ์และรักษากลยุทธ์
  • การฝึกอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุ้นชินกับการจัดการออเดอร์เร็วและแม่น

11. เรียนรู้เรื่อง Leverage อย่างปลอดภัย

  • เข้าใจว่าการใช้เลเวอเรจสูงเพิ่มทั้งกำไรและความเสี่ยงพร้อมกัน
  • เลือกเลเวอเรจให้เหมาะสมกับประสบการณ์ เช่น 1:50 หรือ 1:100 เพื่อลดความเสี่ยง
  • คำนวณขนาด Lot ให้สอดคล้องกับพอร์ตและ Risk Management
  • หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูงเกินไปเพื่อลดความเครียดและความเสี่ยงในการสูญเสียใหญ่
  • ฝึกการจัดการ Margin และ Available Margin อย่างระมัดระวัง
  • การเข้าใจเลเวอเรจช่วยเทรดได้ยาวนานและปลอดภัย
  • การใช้เลเวอเรจอย่างรอบคอบทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ตามสภาพตลาดได้

12. ฝึกการวิเคราะห์ multi-timeframe

  • วิเคราะห์กราฟหลาย Time Frame เช่น 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมงและ Daily เพื่อดูภาพรวมตลาด
  • Timeframe ใหญ่ช่วยเห็นแนวโน้มหลัก Timeframe เล็กช่วยหาจุดเข้าออกที่เหมาะสม
  • ฝึกหาจุด Entry ที่สอดคล้องกับแนวโน้มใหญ่เพื่อลดความเสี่ยง
  • การวิเคราะห์หลาย Timeframe ทำให้สามารถตัดสินใจแม่นยำขึ้น
  • การเข้าใจความสัมพันธ์ของ Timeframe ช่วยวางแผนเทรดได้ดียิ่งขึ้น
  • การใช้ Multi-Timeframe เป็นเครื่องมือเพิ่มความมั่นใจในการเทรด
  • การฝึกอย่างต่อเนื่องช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมตลาดในแต่ละช่วงเวลา

13. บันทึกและวิเคราะห์การเทรด

  • จด Entry และ Exit เหตุผลการเทรดและความรู้สึกระหว่างเทรดเพื่อวิเคราะห์ย้อนหลัง
  • วิเคราะห์ผลลัพธ์ทุกสัปดาห์เพื่อหาจุดอ่อนและปรับปรุงกลยุทธ์
  • เปรียบเทียบกลยุทธ์เดิมกับผลลัพธ์จริงเพื่อเรียนรู้และปรับปรุง
  • การจดบันทึกช่วยลดการทำผิดซ้ำและเข้าใจพฤติกรรมตัวเอง
  • ใช้ Journal เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนากลยุทธ์ต่อเนื่อง
  • การบันทึกอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เข้าใจทั้งตลาดและตัวเองมากขึ้น
  • การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Journal ทำให้การตัดสินใจในอนาคตมีความแม่นยำ

ภาพแสดงถึงตารางของการประกาศตัวเลขข่าวจากเว็บไซต์ Forex Factory ที่เผยถึงข่าวสำคัญ แน่นอนเลยว่า จะมีคู่เงินสำคัญ พร้อมกับการบอกถึงความรุนแรงที่จะมีผลต่อค่าเงินใดบ้าง

14. เรียนรู้ Psychology ของการเทรด

  • เข้าใจความโลภ ความกลัว และอารมณ์ที่กระทบการตัดสินใจ
  • สร้างกฎเทรดส่วนตัวและยึดตามอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมอารมณ์
  • การควบคุมอารมณ์ช่วยลดความเสี่ยงการตัดสินใจผิดพลาด หรือ การ กลัวตกรถ FOMO
  • ฝึกจิตใจให้ยอมรับการขาดทุนเป็นเรื่องปกติและไม่ส่งผลต่อการเทรดครั้งต่อไป
  • การรู้จักตัวเองช่วยปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับนิสัยการเทรด
  • การเทรดด้วยจิตใจที่สงบทำให้ผลลัพธ์ยาวนานและสม่ำเสมอ
  • การฝึกวินัยจิตใจเสริมสร้างความมั่นใจและเพิ่มโอกาสทำกำไร

15. เริ่มต้นเทรดเงินจริงอย่างระมัดระวัง

  • เปิดพอร์ตเล็กและเทรด Micro Lot เพื่อลดความเสี่ยงและฝึกจิตใจ
  • ทดสอบกลยุทธ์ที่ฝึกมาในตลาดจริงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • ใช้เงินลงทุนที่สามารถรับการสูญเสียได้โดยไม่กระทบชีวิตประจำวัน
  • ตรวจสอบความพร้อมของอารมณ์และความเข้าใจก่อนการเทรด
  • ค่อย ๆ เพิ่มขนาดพอร์ตเมื่อมั่นใจในกลยุทธ์และผลลัพธ์
  • เริ่มจากเงินเล็กช่วยให้เรียนรู้ความผันผวนของตลาดโดยไม่กดดัน
  • การเริ่มต้นอย่างระมัดระวังช่วยลดโอกาสสูญเสียใหญ่และสร้างความมั่นใจ

16. ปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลลัพธ์

  • วิเคราะห์ผลการเทรดจริงและปรับ Entry Exit Indicator และ Risk ให้เหมาะสม
  • ทดสอบกลยุทธ์ซ้ำเพื่อดูความแม่นยำและผลลัพธ์ที่เสถียร
  • ติดตามสภาพตลาดและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  • บันทึกการเปลี่ยนแปลงเพื่อเรียนรู้และเปรียบเทียบผลลัพธ์
  • การปรับปรุงทำให้กลยุทธ์ยืดหยุ่นและทำกำไรต่อเนื่อง
  • ใช้ผลวิเคราะห์เพื่อหาจุดแข็งและลดจุดอ่อนของการเทรด
  • การปรับปรุงกลยุทธ์เป็นการพัฒนาความชำนาญอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างภาพ การกำหนด Pending Order ว่าต้องการซื้อ หรือ ต้องการขายในโซนราคาใด ให้ตั้งกำหนด Buy Limit หรือ Sell Limit เอาไว้ เพื่อให้ได้ตามราคาที่ต้องการ ตามแผนในการเทรด

17. ศึกษารูปแบบกราฟขั้นสูง

  • เรียนรู้ Price Action ของกราฟ
  • ใช้รูปแบบกราฟประกอบการตัดสินใจเข้าหรือออกตลาด
  • ฝึกสังเกตรูปแบบเพื่อหาจุดเข้าออกที่แม่นยำ
  • เข้าใจการยืนยันสัญญาณก่อนตัดสินใจเทรด
  • ตัวอย่างการทำ Head and Shoulders แสดงถึงโอกาสกลับตัวของราคา
  • การรู้จักรูปแบบกราฟช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและลดความเสี่ยง
  • การฝึกสังเกตรูปแบบกราฟบ่อย ๆ ทำให้การเทรดเป็นระบบมากขึ้น

18. เพิ่มประสิทธิภาพด้วยข่าวและสัญญาณเสริม

  • ติดตามข่าวเศรษฐกิจและตัวเลขสำคัญ เช่น NFP, CPI, ดอกเบี้ย
  • ใช้ Economic Calendar และ News Alerts เพื่อวางแผนเทรดล่วงหน้า
  • ใช้สัญญาณเสริมยืนยันสัญญาณจากกราฟและ Indicator
  • รอให้ราคายืนยันก่อนเข้าตลาดเพื่อลดความเสี่ยง
  • การวิเคราะห์ข่าวช่วยเข้าใจแรงขับเคลื่อนของตลาดระยะยาว
  • ฝึกสังเกตผลกระทบของข่าวต่อ คู่เงิน ต่าง ๆ เพื่อปรับกลยุทธ์
  • การใช้ข่าวและสัญญาณช่วยให้เทรดได้มีประสิทธิภาพและแม่นยำ

จากภาพจะเห็นได้เลยว่า กราฟแท่งเทียน 1 ชั่วโมง มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เห็นได้ชัดว่า กราฟมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด ซึ่งแน่นอนเลยว่าความผันผวน หรือ พฤติกรรมตลาดก็สามารถมองทางออกได้ว่า กราฟอยู่ในช่วงขาขึ้น

19. เรียนรู้การบริหารพอร์ตระยะยาว

  • กระจายเงินลงทุนในหลายคู่เงินเพื่อลดความเสี่ยงรวม
  • ปรับขนาด Lot และ Risk ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพตลาด
  • ใช้เทคนิค Hedge หรือ Scaling In/Out เพื่อป้องกันความเสี่ยง
  • ติดตามความเสี่ยงรวมของพอร์ตและปรับกลยุทธ์ตามสภาพตลาด
  • การบริหารพอร์ตช่วยให้สามารถรักษาพอร์ตได้ยาวนาน
  • การติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอช่วยปรับปรุงพอร์ตให้เหมาะสม
  • การบริหารพอร์ตระยะยาวทำให้สามารถทำกำไรอย่างต่อเนื่อง

20. พัฒนาตัวเองสู่ระดับมืออาชีพ

  • อ่านหนังสือ คอร์ส และแลกเปลี่ยนความรู้กับเทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์
  • ฝึกประสบการณ์จริงในตลาดเพื่อเข้าใจความผันผวนและอารมณ์ตลาด
  • วิเคราะห์ผลลัพธ์ของตัวเองและตลาดเพื่อพัฒนากลยุทธ์ต่อเนื่อง
  • เรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตลาดที่เปลี่ยนแปลง
  • พัฒนาจิตใจและวินัยเพื่อรักษาผลลัพธ์และสม่ำเสมอในการเทรด
  • ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาสร้างแผนเทรดมืออาชีพ
  • การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องทำให้สามารถเทรดอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จ

ภาพแสดงถึงพฤติกรรมของนักเทรด ที่พร้อมจะก้าวเข้าสู่ระดับมืออาชีพ จะต้องมีการฝึกฝนตนเอง และ การควบคุมวินัยอย่างเคร่งครัด และ มีเป้าหมาย

คลิปที่น่าสนใจ

  • Forex คืออะไร จากช่อง Kitthanet Putiphatwattana
  • ในคลิปวีดีโอที่ขอแนะนำในบทความนี้ จะพาไปเริ่มต้นรู้จักกับ Forex 
  • อธิบายง่ายๆ ให้กับคนที่ยังสงสัยว่า Forex มันคืออะไร และเราจะทำเงินกับมันได้ยังไง คลิปนี้จะบอกอีกด้วยว่าใครบ้างที่เหมาะกับตลาดนี้และใครบ้างที่ไม่เหมาะ

สรุป 

ความสำเร็จในการเทรด Forex ไม่ได้อาศัยโชคช่วย แต่เกิดจากการเรียนรู้และฝึกฝนอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากการสร้างความเข้าใจใน พื้นฐานที่สำคัญของตลาด เช่น Pip, Lot และ Leverage เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ. การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและมีใบอนุญาตกำกับดูแลที่ชัดเจน ถือเป็นก้าวแรกที่ช่วยลดความเสี่ยงและทำให้การเทรดเป็นไปอย่างราบรื่น และไฮไลท์ที่สำคัญคือการก้าวสู่การเป็นมืออาชีพ ที่ต้องอาศัยการจดบันทึกการเทรดเพื่อเรียนรู้จากข้อผิดพลาด , การปรับปรุงกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง , และการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างกำไรในระยะยาวและเทรดได้อย่างมั่นคง

อ้างอิง

FAQ – วิธี เทรด Forex เริ่มต้นจนเป็นมืออาชีพ 20 ขั้นตอนอย่างละเอียด

เพราะ Indicator ไม่ใช่เครื่องมือทำนายอนาคต แต่เป็นเครื่องมือวัดความน่าจะเป็น สัญญาณที่แม่นยำเป็นเพียงการบอกว่าในอดีต เมื่อเกิดรูปแบบนี้… ราคาเคยมีการตอบรับเคลื่อนไหวไปแบบไหน แต่ตลาดจริงถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยที่เหนือกว่ากราฟ เช่น ข่าวเศรษฐกิจ หรือออเดอร์ขนาดใหญ่จากกองทุน ที่ส่งผลกับตลาดในทันที การบริหารความเสี่ยงในทุกครั้งที่เทรดจึงมีความสำคัญมากกว่า เพราะว่าทุกแผนสามารถผิดพลาดได้เสมอ
เพราะสภาพตลาดที่แตกต่างกันในแต่ละวันล้วนสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างของกลยุทธ์ เช่น กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) จะ fail ในตลาดที่ไร้ทิศทาง (Sideway) และในทางกลับกัน การยึดติดกับกลยุทธ์เดียวโดยไม่ประเมิน context ของตลาดก่อน คือสาเหตุหลักของผลลัพธ์ที่ไม่สม่ำเสมอ การจะประสบความสำเร็จได้ ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้กลยุทธ์ไหน และเมื่อไหร่ที่ไม่ควรเทรดเลย
Leverage เป็นเครื่องมือที่เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ช่วยขยายทั้งผลกำไรและขาดทุน ผลลัพธ์เลยอยู่กับวินัยของผู้ใช้ ถ้าเป็นมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วย Leverage ที่ไม่สูง เช่น 1:50 หรือ 1:100 เพื่อลดความเสี่ยง แต่หัวใจหลักไม่ใช่ตัวเลข Leverage ที่ตั้งไว้ แต่คือการบริหารความเสี่ยงผ่านการคำนวณขนาด Lot ที่เหมาะสมและใช้ Stop Loss ทุกครั้ง เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่แท้จริงในแต่ละออเดอร์
เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจากการเทรดตามข่าวไม่ได้พนันกับตัวเลข แต่จะให้ความสำคัญที่ ปฏิกิริยาของตลาด ต่อข่าวนั้นๆ ควรรอจังหวะให้ความผันผวนสูงในช่วงแรกผ่านไปก่อน แล้วค่อยหาจังหวะเข้าเมื่อราคายืนยันทิศทางที่ชัดเจนแล้ว แต่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ที่ขาดทุนจะรีบเข้าเทรดก่อนเวลาด้วยความโลภ หรือเทรดตามข่าวเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการใช้ confirmation signal ใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้โดนสัญญาณหลอกได้ง่าย
เพราะประสบการณ์ กับ การฝึกฝนอย่างมีเป้าหมาย มันแตกต่างกัน การเทรดไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการวิเคราะห์ คือการทำผิดพลาดซ้ำ ๆ แต่ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ตลาดเปลี่ยนแปลงเสมอ และการพัฒนาที่แท้จริงเกิดจากการจดบันทึกการเทรด, วิเคราะห์, และปรับปรุงกลยุทธ์อยู่ตลอด เลยไม่ใช่เรื่องของเวลา เทรดเป็น 10 ปีก็ย่ำอยู่กับที่ได้ ถ้าขาดการเรียนรู้และปรับตัวอย่างสม่ำเสมอ

 

เขียนโดย

Somchai Witthtaya

ผู้ตรวจทานความถูกต้อง

Chonthicha Poomidon